หากพูดถึงการ Manifest หลายคนก็จะนึกถึงกูรูที่ชอบพูดเรื่องพลังจิต หรือเหล่าไลฟ์โค้ชที่สอนให้ฝึกจินตนาการถึงสิ่งที่เราอยากได้แล้วมันจะเป็นจริง มีทั้งคนที่เข้าใจหลักการและทำได้จริง แต่บางคนอาจมองว่าการ Manifest ฟังดูงมงายนิดๆ แต่จริงๆ แล้ว Manifestation ไม่ใช่เรื่องงมงายอย่างที่คิด เพราะมันมีรากฐานมาจากวิทยาศาสตร์สมองที่แข็งแกร่งมาก
การ Manifest คือการตั้งเป้าหมายที่มีรากฐานทางวิทยาศาสตร์ มันคือการสร้างภาพในใจแล้วตามด้วยแผนที่ชัดเจน มันคือจิตวิทยาเชิงบวกที่นำไปใช้จริง ไม่ใช่แค่นั่งฝัน คุณจะเรียกมันว่าเรื่องไร้สาระต่อไป หรือจะเริ่มใช้มันเป็นเครื่องมือในการสร้างชีวิตที่คุณอยากได้ ทางเลือกอยู่ที่คุณ แต่จำไว้ว่า สมองของคุณกำลังฟังทุกอย่างที่คุณพูด ทุกอย่างที่คุณคิด และมันกำลังสร้างตัวเองขึ้นมาใหม่ทุกวันตามนั้น คำถามคือ วันนี้คุณจะป้อนอะไรให้มัน?
เมื่อเราเริ่ม Manifest สร้างภาพในใจว่ากำลังทำอะไรสักอย่าง สมองของคุณจะเปิดใช้งานเส้นทางประสาทเดียวกันกับตอนที่คุณทำของจริง สมองมันแยกไม่ออกว่าอันไหนจินตนาการ อันไหนของจริง ทำไมถึงเป็นแบบนี้ เพราะมันมีกลไกที่เรียกว่า Neuroplasticity คือความสามารถของสมองที่จะปรับโครงสร้างตัวเองได้ตลอดเวลา นี่คือเหตุผลที่นักกีฬาโอลิมปิกใช้เทคนิคการจินตนาการก่อนแข่ง ว่าพวกเขาทำได้ พวกเขายอดเยี่ยม และแน่นอนว่าพวกเขารู้ว่ามันได้ผลจริง ตัวอย่างที่น่าสนใจเช่น คริสเตียโน โรนัลโด เป็นตัวอย่างที่ดีมาก เขาใช้เทคนิค visualization ก่อนยิงจุดโทษและฟรีคิกเสมอ โดยเขาจะสร้างภาพในใจว่าลูกบอลเข้าประตูตรงไหนก่อนจะยิงทุกครั้ง
ในสมองเรายังมีระบบหนึ่งชื่อว่า RAS ย่อมาจาก Reticular Activating System ซึ่งทำหน้าที่เป็นตัวกรองข้อมูล มันตัดสินใจว่าอะไรควรเข้ามาในจิตสำนึกของเรา อะไรไม่ควร เคยสังเกตไหมว่าพอคุณคิดจะซื้อรถสักคัน ทันใดนั้นคุณก็จะเห็นรถรุ่นนั้นทุกที่ มันไม่ใช่เพราะรถคันนั้นเพิ่งเกิดขึ้นมาใหม่ มันอยู่ตรงนั้นมาตลอด แต่สมองของคุณไม่เคยให้ความสำคัญ พอคุณเริ่มโฟกัส RAS มันก็เริ่มทำงาน มันก็เลยดูเหมือนว่าโอกาสต่างๆ กำลังโผล่มาหาคุณ ทั้งที่จริงๆ แล้วมันอยู่ตรงนั้นมาตลอด แค่คุณไม่เคยสังเกตเห็น
ความเชื่อของคุณมันสร้างเส้นทางประสาทจริงๆ ในสมอง ถ้าคุณเชื่อว่าอะไรสักอย่างเป็นไปได้ สมองจะเริ่มหาทางทำให้มันเกิด ถ้าคุณเชื่อว่าเป็นไปไม่ได้ สมองจะกรองโอกาสออกไปหมด มันไม่ใช่เรื่องจิตวิทยาเบาๆ นะ มันเป็นเรื่องของโครงสร้างทางชีววิทยาจริงๆ ความคิดของคุณมันเปลี่ยนเคมีในสมอง เปลี่ยนเส้นทางประสาท และท้ายที่สุดก็เปลี่ยนพฤติกรรม นี่คือเหตุผลที่คนมองโลกในแง่ดีมักจะ “โชคดี” กว่า ไม่ใช่เพราะจักรวาลหวังดี แต่เพราะสมองของพวกเขามองเห็นโอกาสที่คนอื่นมองไม่เห็น
เรื่อง Affirmations หรือคำยืนยันเชิงบวก หลายคนคิดว่ามันคือการโกหกตัวเอง แต่จริงๆ มันคือการสร้างเส้นทางประสาทใหม่ แค่ว่ามันจะได้ผลก็ต่อเมื่อคุณทำอะไรสักอย่างด้วย นี่คือจุดที่คนส่วนใหญ่พลาด พวกเขาคิดว่าแค่นั่งพูดว่า “ฉันรวย” ทุกเช้า แล้วเงินจะโผล่มาเอง มันไม่ได้ work แบบนั้น สมองต้องการหลักฐาน มันต้องเห็นว่าคุณกำลังทำอะไรสักอย่างที่สอดคล้องกับสิ่งที่คุณพูด ถ้าคุณบอกว่า “ฉันกำลังสร้างความมั่งคั่ง” แล้วคุณก็เรียนรู้เรื่องการลงทุน เริ่มออม พัฒนาสกิล สมองมันจะเริ่มเชื่อ แล้วมันก็จะเริ่มช่วยคุณ
สรุปแล้ว Manifestation ไม่ใช่เรื่องหลอกลวง แต่มันก็ไม่ใช่เวทมนตร์ มันคือการตั้งเป้าหมายที่มีรากฐานทางวิทยาศาสตร์ มันคือการสร้างภาพในใจแล้วตามด้วยแผนที่ชัดเจน มันคือจิตวิทยาเชิงบวกที่นำไปใช้จริง ไม่ใช่แค่นั่งฝัน คุณจะเรียกมันว่าเรื่องไร้สาระต่อไป หรือจะเริ่มใช้มันเป็นเครื่องมือในการสร้างชีวิตที่คุณอยากได้ ทางเลือกอยู่ที่คุณ แต่จำไว้ว่า สมองของคุณกำลังฟังทุกอย่างที่คุณพูด ทุกอย่างที่คุณคิด และมันกำลังสร้างตัวเองขึ้นมาใหม่ทุกวันตามนั้น คำถามคือ วันนี้คุณจะป้อนอะไรให้มัน?