เคยสังเกตไหม? เวลาที่เราชอบหรือรู้สึกดีกับใครสักคน เราจะรู้สึกอยากอยู่ใกล้ๆ สายตาของเราจะจดจ่ออยู่กับเขา ไม่ว่าเขาจะพูดอะไรเราก็พร้อมที่จะตั้งใจฟังทุกประโยค ซึ่งความรู้สึกเหล่านี้นี่แหละที่ทำให้ร่างกายของเราโน้มตัวเข้าหา เขาเองโดยธรรมชาติ ในทางกลับกัน หากคนตรงหน้าคือคนที่เราไม่ชอบ จิตใต้สำนึกก็จะส่งสัญญาณฟ้องให้เรา เอนตัวถอยห่าง เช่นกัน
ในทางจิตวิทยานั้นพบว่า การเอนตัวไปข้างหลังขณะที่เรากำลังนั่งอยู่กับคู่สนทนาตรงหน้า สามารถสื่อได้ว่าเรานั้นไม่มีความสนใจ รู้สึกเบื่อหน่าย หรือไม่ไว้วางใจ และต้องการระยะห่าง ซึ่งนั่นยังส่งผลไปยังมู้ดของบทสนทนาด้วย ขณะที่พูดคุยกันจะไม่รู้สึกอยากสบตา ไม่ค่อยมีการพยักหน้าขานรับความเข้าใจ บทสนทนาไม่ลื่นไหล บ้างก็เกิดโมเมนต์เดดแอร์จนสร้างความอึดอัดต่อกัน
การเข้าใจสัญญาณท่าทางร่างกายของอีกฝ่ายนั้นถือเป็นประโยชน์ที่นำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตจริงได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของความรัก ซึ่งภาพของการออกเดตถือเป็นตัวอย่างชัดเจนที่บอกให้เรารู้ว่าควรไปต่อหรือตัดใจ
หรือในแง่ของการทำงาน หากมีโปรเจกต์ใหม่ที่ต้องนำเสนอ ไม่ว่าจะกับลูกค้า ผู้บริหาร หรือพาร์ตเนอร์ เราจะสามารถอ่านใจได้ตั้งแต่เนิ่นๆ ว่าโปรเจกต์ของเราจะได้รับการอนุมัติหรือปัดตก
ทั้งนี้ เราอาจเปลี่ยนแปลงความรู้สึกของผู้อื่นไม่ได้ โดยเฉพาะกับคนที่ไม่ชอบขี้หน้าเราจริงๆ แต่เราสามารถเรียนรู้และพัฒนาตัวเองให้เป็นคนที่ดีพร้อมในแบบฉบับของตัวเองได้ ตราบใดที่สิ่งนั้นไม่ได้ทำร้ายใคร และทำให้ใครเดือดร้อน บางทีการที่เราทำอะไรไปแล้วไม่ถูกใจใครสักที อาจเป็นเพราะเราอยู่ผิดที่…ในที่ที่เขาไม่เห็นค่าก็ได้นะ
อ้างอิง: