รู้หรือไม่ว่าความเครียดและความวิตกกังวลอาจลดลงอย่างเห็นได้ชัด หากมีการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตบางอย่าง เช่น เพิ่มคุณภาพการนอนหลับให้ดีมากขึ้น ลดการบริโภคคาเฟอีนที่มากเกินไป ให้ความสำคัญกับการฝึกนั่งสมาธิ และการรับประทานอาหารเพื่อสุขภาพ แต่ไม่ใช่ว่าความวิตกกังวลที่เกิดขึ้นทั้งหมดจะเป็นอันตราย บางทีมันอาจเป็นสัญญาณเตือนหรือการกระตุ้นให้เรากลับมาโฟกัสใส่ใจสุขภาพกายใจให้กลับมามีความสมดุล ก่อนที่ความกังวลจะลุกลามจนควบคุมไม่ได้
หากเราควบคุมความเครียดและความวิตกกังวลไม่ได้ จะเกิดอะไรขึ้น?
แน่นอนว่าจะเกิดผลกระทบอย่างมากจากความวิตกกังวลที่ไม่ได้รับการรักษา และอาจทำให้ความกลัวตามมา ซึ่งนักวิจัยระบุว่า ความกลัวคือปฏิกิริยาตามธรรมชาติของร่างกายที่ส่งผลต่อความเครียดและความวิตกกังวล ซึ่งอาจเกิดจากตัวแปรหลายอย่าง รวมถึงพันธุกรรม สิ่งแวดล้อม หรือแม้แต่เคมีในสมอง และอาจนำไปสู่อาการต่างๆ อีกมากมาย เช่น อัตราการเต้นของหัวใจสูงขึ้น หายใจเร็ว กระวนกระวายใจ ขาดสมาธิ ฯลฯ
การจะจัดการกับความวิตกกังวลมีหลายวิธี เช่น การเข้ารับการบำบัดพฤติกรรมทางปัญญา (CBT) เป็นรูปแบบการรักษายอดนิยมที่ให้เทคนิคแก่ผู้ป่วยในการจัดการกับความวิตกกังวลเมื่อมีอาการ หรือการใช้ยาบางชนิด เช่น ยาระงับประสาทและยาแก้ซึมเศร้า ยังสามารถควบคุมเคมีในสมองและลดอาการวิตกกังวลได้อีกด้วย แม้แต่อาการที่รุนแรงที่สุดก็สามารถป้องกันได้
แต่รู้หรือไม่ว่ายังมีวิธีธรรมชาติที่เราสามารถปฏิบัติตาม เพื่อช่วยจัดการกับความวิตกกังวลได้ ซึ่ง LIFE รวบรวมวิธีเหล่านั้นมาให้แล้วดังนี้
ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ไม่เพียงช่วยเรื่องร่างกายที่แข็งแรงเท่านั้น แต่ยังช่วยเพิ่มอัตราการเต้นของหัวใจ และสามารถเปลี่ยนเคมีในสมองเพื่อต่อต้านความวิตกกังวลได้ คนที่ออกกำลังกายบ่อยๆ จึงมักไม่เครียดและอารมณ์ดีกว่าคนที่ไม่ออกกำลังกายเลย
เครียดแล้วไปดื่มแก้เครียดไม่ใช่ทางออก! การดื่มแอลกอฮอล์อาจช่วยได้ในตอนแรก แต่มันมีฤทธิ์ทำลายประสาทและไม่ส่งผลดีต่อร่างกาย อีกทั้งผลการวิจัยในปี 2017 พบว่า การลดปริมาณแอลกอฮอล์ช่วยบรรเทาอาการวิตกกังวลและภาวะซึมเศร้าได้
การสูบบุหรี่เวลาเครียดอาจทำให้ความวิตกกังวลแย่ลง ผลวิจัยแสดงให้เห็นว่า ยิ่งเริ่มสูบบุหรี่เร็วเท่าไร ความเสี่ยงในการเกิดโรควิตกกังวลในภายหลังก็จะยิ่งสูงขึ้นเท่านั้น และสารนิโคตินยังทำให้เกิดการเสพติด ต่อไปในระยะยาวหากเลิกบุหรี่ไม่ได้ ก็อาจรับมือกับความเครียดและวิตกกังวลได้ยากขึ้น
จำกัดปริมาณการบริโภคคาเฟอีนให้น้อยลง เพราะผลวิจัยพบว่า คาเฟอีนอาจทำให้อาการวิตกกังวลแย่ลงได้ นอกจากนี้ยังอาจทำให้เกิดอาการตื่นตระหนกในบางคน ลองลดปริมาณการดื่มชา กาแฟ เปลี่ยนมาเป็นดื่มน้ำเปล่าเพื่อดับกระหาย จะส่งผลดีต่อสุขภาพมากกว่า
ให้ความสำคัญต่อการนอนหลับพักผ่อนอย่างเต็มอิ่ม เป็นเรื่องเบสิกที่ทุกคนรู้ว่าหากทำได้ก็จะสุขภาพดีแน่นอน คุณควรปรับนิสัยบางอย่างเพื่อให้ร่างกายจดจำและช่วยให้การนอนหลับง่ายขึ้น เช่น นอนตรงเวลา ไม่อ่านหนังสือ หรือดูโทรทัศน์ หรือเล่นโทรศัพท์ก่อนนอน หลีกเลี่ยงคาเฟอีน อาหารมื้อใหญ่ และนิโคตินก่อนนอน ทำให้ห้องของคุณมืดและเย็น
นั่งสมาธิและฝึกสติ ช่วยนำไปสู่ความรู้สึกสงบและพึงพอใจ การทำสมาธิเป็นที่รู้กันว่าสามารถบรรเทาความเครียดและความวิตกกังวลอย่างได้ผล จากผลการวิจัยของ John Hopkins แนะนำว่า การทำสมาธิทุกวันเป็นเวลา 30 นาที อาจบรรเทาอาการวิตกกังวล และทำหน้าที่คล้ายเป็นยาแก้ซึมเศร้าได้
ใส่ใจการกินอาหารที่สมดุล เพราะหากปล่อยให้ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ มีภาวะขาดน้ำ หรือบริโภคสารเคมีในอาหารแปรรูปเข้าไปเยอะๆ เช่น สารปรุงแต่งรส สีสังเคราะห์ และสารกันบูด อาจทำให้อารมณ์เปลี่ยนแปลงได้ อาหารที่มีน้ำตาลสูงอาจส่งผลต่ออารมณ์ได้เช่นกัน
ฝึกหายใจลึกๆ การหายใจตื้นและเร็วมักเกิดขึ้นกับคนที่มีความวิตกกังวล หากยิ่งปล่อยให้หัวใจเต้นเร็ว อาจเกิดอาการวิงเวียนศีรษะ หน้ามืด หรือแม้แต่อาการตื่นตระหนกได้ จึงควรฝึกการหายใจลึกๆ ช้าๆ สม่ำเสมอ จะช่วยฟื้นฟูและลดความวิตกกังวลได้
อ้างอิง: