“การเดินทางสู่ความเข้าใจตัวเองผ่านพลังแห่งการเขียน Journal คือประตูที่เปิดกว้างให้ทุกคนได้ก้าวเข้าไปสู่ช่วงเวลาแห่งความซื่อสัตย์ ที่เราได้ปลดปล่อยสิ่งที่หนักใจด้วยปลายปากกา”
UOB Privilege Banking ร่วมมือกับ THE STANDARD LIFE ขอพาทุกท่านไปสำรวจ The Secrets of Longevity ในมิติของการเขียน การจดบันทึก และจดจำเรื่องราวดีๆ ที่เกิดขึ้นในทุกวัน เพราะ ‘Longevity’ ไม่ใช่แค่การมีชีวิตที่ยาวนาน แต่คือการมีชีวิตที่ดี แข็งแรง และมีคุณภาพในทุกๆ ด้าน การดูแลตัวเองจึงเป็นสิ่งสำคัญ และ UOB Privilege Banking เข้าใจดีว่าความมั่งคั่งที่แท้จริงไม่ได้มาจากมิติการเงินเพียงอย่างเดียว แต่ยังประกอบด้วยองค์ประกอบที่สำคัญอื่นๆ โดยเฉพาะสุขภาพกายและใจ
โดยใน Episode นี้ เราได้นั่งพูดคุยกับ เอ๋ นิ้วกลม นักเขียนชื่อดังคนหนึ่งของเมืองไทย สะท้อนมิติการเดินทางสู่ความเข้าใจตัวเองผ่านพลังแห่งการเขียน Journal ที่ทุกคนสามารถเริ่มต้นได้ เขาให้คำจำกัดความเกี่ยวกับ Journal ว่า “การเขียนคือการหายใจ” และตัวเขาเองก็เป็นผู้ที่พิสูจน์แล้วว่าการเขียนไม่ใช่แค่การบันทึกเรื่องราวเท่านั้น แต่ยังเป็นเครื่องมืออันทรงพลังที่เปลี่ยนวิธีที่เขามองโลกใบเดิมให้ไม่เหมือนเดิม
เราจึงอยากชวนผู้อ่านมาแบ่งปันประสบการณ์และมุมมองเกี่ยวกับการเขียน Gratitude Journal ในแบบที่ เอ๋ นิ้วกลม บอกว่ามันจะช่วยให้เขาได้ “ขย้อน” ความคิดและความรู้สึกออกมาอย่างซื่อสัตย์ เพื่อจัดการกับความเครียด รู้จักมองเห็นเรื่องดีๆ ในชีวิต และสร้างความแข็งแกร่งภายใน เพื่อให้เราเผชิญหน้ากับความท้าทายในชีวิตได้อย่างมั่นคงต่อไป
“การเขียน Gratitude Journal ในที่นี้ เอ๋ นิ้วกลม บอกว่ามันช่วยให้เราได้ ‘ขย้อน’ ความคิดและความรู้สึกออกมาอย่างซื่อสัตย์ เพื่อจัดการกับความเครียด รู้จักมองเห็นเรื่องดีๆ ในชีวิต และสร้างความแข็งแกร่งภายใน”
การเขียน Journal คืออะไรและสำคัญอย่างไร?
การเขียน Journal สำหรับเอ๋ นิ้วกลม ไม่แตกต่างจากการเขียนบันทึกทั่วไป เพราะแก่นแท้ของการเขียนคือการ ” ขย้อน” สิ่งที่อยู่ภายในออกมาสู่ภายนอก ไม่ว่าจะเป็นความคิดหรือความรู้สึก
“สำหรับตัวเราจะไม่ค่อยแบ่งแยกประเภทของการเขียนเท่าไหร่ ก็คิดว่าการเขียนสำหรับตัวเองมันคือการที่เอาสิ่งที่มันอยู่ข้างในออกมาข้างนอก ซึ่งเป็นเรื่องที่สำคัญมากนะครับ ไม่ว่าเราจะเขียนมันในรูปแบบไหนก็ตาม จะเขียนบทความ จะเขียน Journal จะเขียนบันทึกสั้นๆ หรือเขียนโน้ต ล้วนแล้วแต่เป็นกระบวนการเดียวกันก็คือการเอาสิ่งที่มันอยู่ข้างใน ไม่ว่าจะเป็นความคิด ความรู้สึกออกมา แต่การเขียน Journal มันก็อาจจะเป็นการที่เราทำอย่างสม่ำเสมอเป็นกิจวัตร คล้ายๆ กับการแปรงฟันอะไรอย่างนี้ มันอาจจะทำให้เราได้เห็นตัวเองสม่ำเสมอขึ้น จริงๆ แล้วการเขียนแล้วมันเป็นพาร์ตที่สำคัญมากของชีวิตเลยนะ เราควรจะได้เขียนความคิดและความรู้สึกของเราออกมา เพราะฉะนั้นสำหรับตัวเองก็คือเขียนเหมือนหายใจเลย ถ้ารู้สึกก็เขียน คิดอะไรขึ้นมาได้ก็เขียน ก็ทำอยู่เรื่อยๆ ทำให้มันกลายเป็นกิจวัตรประจำวัน”
จุดเริ่มต้นและพลังของการเขียนของเอ๋ นิ้วกลม
เอ๋ นิ้วกลม เล่าถึงจุดเปลี่ยนสำคัญในวันเกิดตอนมัธยมปลาย ซึ่งทำให้เขาเข้าใจพลังของการเขียนอย่างแท้จริง
“มันมีอยู่วันหนึ่งที่น่าจะเปลี่ยนที่ทำให้รู้สึกว่า โอ้ การเขียนมันดีแบบนี้นี่เอง ก็คือมันเป็นวันเกิดย้อนกลับไปประมาณมัธยมปลาย แล้วมันเป็นวันเกิดที่ไม่มีใครจำได้เลย ก็เฝ้ารอว่าจะมีคนโทรมาอวยพร รอพ่อแม่เซอร์ไพรส์ แต่ไม่มี จนกระทั่งเวลาผ่านไปจน 3 ทุ่มแล้ว ก็ค่อนข้างมั่นใจว่า ไม่มีใครจำวันเกิดเราได้แล้วจริงๆ ก็มีความผิดหวัง ก็เลยไปหยิบเอากระดาษ A4 ขึ้นมา แล้วก็เอาดินสอเขียน เขียน เขียน เขียนขึ้นต้นประโยคแรกว่า ‘วันนี้วันเกิดเราแล้วนะ แต่ทำไมไม่มีใครจำได้เลย’ ก็เขียนบ่นๆ ไป ด้วยความรู้สึกอึดอัด น้อยใจ เสียใจ ผิดหวัง แต่เมื่อเขียนไปเรื่อยๆ จนถึงย่อหน้าสุดท้าย ก็จำได้ว่าเขียนว่า เออ แต่วันนี้ก็เป็นวันธรรมดาวันหนึ่งนะ เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็จะมีพระอาทิตย์ขึ้น นกบินออกจากรัง ผู้คนก็จะออกไปทำมาหากินเหมือนวันปกติทั่วไป ก็เหมือนกับวันนี้นั่นแหละ เพราะฉะนั้นวันนี้ก็เป็นวันธรรมดาวันหนึ่ง
“การเขียน Journal ลงบนกระดาษ เป็นพื้นที่ที่เป็นมิตรกับเรามาก มันอนุญาตให้เราเป็นทุกอย่าง จะโกรธ ผิดหวัง อ่อนแอ ได้หมดเลย เมื่อเราลงไปเป็นตัวเองได้เต็มที่ เราจะเห็นตัวเองชัดขึ้น และตัวเองนี่แหละที่ปลอบใจตัวเองได้ดีที่สุด”
“พอเราวางดินสอลงไปมันก็รู้สึกว่าโล่ง เออว่ะ ใจเบาเลย วันนั้นเป็นครั้งแรกเลยครับที่รู้สึกว่าการเขียนมันช่วยได้ ง่ายที่สุดเลยคือมันช่วยให้ใจเราสบายขึ้น แต่ว่าพอเราผ่านโมเมนต์นั้นมามองย้อนกลับไป มันก็คือการที่เรารู้สึกว่ามันได้ขย้อนเอาสิ่งที่มันอยู่ข้างในออกมาให้เราเห็น แล้วมันสำคัญมาก เพราะบางทีกระบวนการมันคือการที่พอเราได้ค่อยๆ เรียบเรียงความคิด มันได้คลี่คลายและได้ข้อสรุปอะไรบางอย่างด้วย มันคือการที่เราได้ส่องกระจกเข้าไปในข้างใน เราได้ซื่อสัตย์กับตัวเองจริงๆ เพราะบางทีเวลาเราไม่เขียน เราหลอกตัวเองได้ แต่เวลาที่เขียนมันจะพรั่งพรู แล้วเวลาที่งานเขียนมันซื่อสัตย์มันจะปลดปล่อยพลังต่อตัวเอง สิ่งที่มันช่วยได้คือการเขียนบนกระดาษแผ่นนั้นเรารู้ว่าโลกใบนี้มันจะไม่มีใครได้อ่านมัน ซึ่งดีมาก เพราะจริงๆ แล้วเราอยู่ในโลกที่เต็มไปด้วยคนอื่นที่คอยมอง เราจะคอยกังวลว่าเขาจะคิดยังไง เราจะแสดงความรู้สึกแบบนี้ได้ไหม มันจะดูไม่ดีหรือเปล่า มันดูอ่อนแอหรือดูแย่หรือเปล่า กระดาษจึงเป็นพื้นที่ที่เป็นมิตรกับเรามาก มันอนุญาตให้เราเป็นทุกอย่าง จะเลว จะโกรธ จะผิดหวัง อ่อนแอได้หมดเลย เมื่อเราลงไปเป็นตัวเองได้อย่างเต็มที่ เราจะเห็นตัวเอง แล้วพอเราเห็นตัวเองก็จะเป็นตัวเองนี่แหละที่ปลอบใจตัวเองได้”
การเริ่มต้นเขียน Gratitude Journal ควรเริ่มอย่างไร?
เอ๋ นิ้วกลม เชื่อว่าการเขียน Gratitude Journal ไม่ใช่เรื่องยาก อันดับแรกคือ ต้องเห็นสิ่งดีๆ ที่เกิดขึ้นในแต่ละวันก่อน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กน้อยแค่ไหนก็ตาม
“คิดว่าอันดับแรกเลยต้องมีนิสัยของการที่ชอบมองหาอะไรดีๆ อยู่แล้ว อาจจะเห็นอะไรบางอย่างที่มันน่ารัก แค่นี้เราก็ยิ้มได้แล้ว อย่างวันหนึ่งผมไปฟังธรรมที่สวนโมกข์กรุงเทพฯ ก็จะมีคนนั่งอยู่ข้างหน้า เขาใส่ถุงเท้ารูปซานตาคลอส แล้วมันน่ารักอะ ผมโพสต์ลงไอจีเลยครับ รู้สึกว่าแค่นี้เราก็ยิ้มแล้ว เพราะฉะนั้นอันดับแรกคือต้องเห็นก่อน เห็นสิ่งที่ทำให้รู้สึกว่าน่ารัก สดใส เห็นแล้วมีความสุขอะไรอย่างนี้ครับ เราก็จะมีความรู้สึกขอบคุณเกิดขึ้น คือตั้งแต่ตอนที่เห็น เวลาที่เราเก็บสะสมเรื่องพวกนี้อยู่เรื่อยๆ เวลาที่เขียนอะไรลงไปมันก็จะมีมุมมองในลักษณะนี้อยู่เรื่อยๆ ด้วยเหมือนกัน มันอาจจะเป็นอะไรสั้นๆ ก็ได้ เช่น รูปแล้วข้อความ รวมถึงการที่เราได้ไปเจอผู้คนที่ทำให้เรารู้สึกว่าเขาเล่าประสบการณ์บางอย่างแล้วมีคำพูดที่เราฟังแล้วประทับใจ อันนี้มันก็เป็น Gratitude Journal ได้เหมือนกัน”
“เขียน Gratitude Journal ไม่ใช่เรื่องยาก อันดับแรกคือ ต้องเห็นสิ่งดีๆ ที่เกิดขึ้นในแต่ละวันก่อน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กน้อยแค่ไหนก็ตาม”
“คือเห็นแล้วไม่ปล่อยผ่าน พยายามสังเกตและเก็บสะสมเรื่องราวที่ทำให้รู้สึกดี เพราะไม่งั้นเราจะตื่นมาในแต่ละวันแล้วมันไม่มีอะไรให้ขอบคุณ ในแต่ละวันมันมีทั้งเรื่องร้ายและเรื่องดีอยู่แล้ว ในเหตุการณ์ที่แม้มันอาจจะดูไม่ดี เช่น สมมติรถติด ไปทำงานสาย แต่ก็เชื่อว่ามันเรื่องดีเกิดขึ้น มีเพลงเพราะๆ ให้ฟังตอนรถติด ท้องฟ้าวันนั้นมันอาจจะสวยมากก็ได้ หรือเฮ้ย ฝนตก มองเห็นจังหวะหยดน้ำที่มันสวยว่ะ ก็คิดว่ามันสำคัญ ดังนั้นก่อนที่จะไปถึงขั้นตอนเขียน คือขั้นตอนการซึมซับโลกใบนี้ และประสบการณ์ชีวิตให้เห็นสิ่งดีๆ”
“จริงๆ การเขียน Gratitude Journal เป็นสิ่งที่ส่วนตัวมากๆ เพราะฉะนั้น กระดาษแผ่นนี้มันเป็นของเรา เราจะเขียนอะไรก็ได้จริงๆ บางทีสิ่งที่เขียนมันจะเริ่มต้นจากสิ่งที่เป็นลบก็ได้นะ แล้วพอเขียนไปเรื่อยๆ มันจะไปคลี่คลายเหมือนเรื่องวันเกิดของผมก็เป็นไปได้ อันดับแรกคือเขียนให้ไม่มีใครได้อ่าน อันดับสองก็คือให้พื้นที่นี้มันเป็นของเราอย่างแท้จริงเราจะเขียนอะไรก็ได้ครับ ไม่มีครูมาตรวจแล้ว แล้วก็ให้มันเป็นสนามฝึกฝนเราให้มองเห็นเรื่องที่น่าขอบคุณ”
ยิ่งเขียน ความสุขในสมองยิ่งเพิ่มขึ้น
“ผมคิดว่ามันเป็นเรื่องของเรดาร์ คือถ้าเราอธิบายด้วยการทำงานของสมอง สมองของเราเนี่ยมันมีลูปในการทำงานของมัน เช่นการที่เราทำอะไรเดิมๆ มันก็จะมีร่องที่ลึกลงไปเรื่อยๆ สมมติว่าเราเป็นคนมองโลกในแง่ร้าย มันก็ง่ายมากที่เราจะมองเห็นสิ่งที่มันไม่ถูกใจ แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่เราเริ่มสะสมการมองโลกในแง่บวก หรือมองเห็นเรื่องราวดีๆ ในชีวิต พอเราเขียนมันลงไป แล้วก็ได้อ่านด้วย เราจะเริ่มเห็นมากขึ้น ยิ่งเขียนมาก ยิ่งเห็นมาก มันจะเป็นวงจรที่ค่อยๆ เปลี่ยนแปลงเราให้กลายเป็นคนที่อยู่บนโลกใบเดิม ในสถานการณ์เดิมเลย แต่เราเห็นโลกไม่เหมือนเดิม เราจะเห็นสิ่งที่ดีมากขึ้นในชีวิต”
“ในโลกนี้มันมีเรื่องที่น่าขอบคุณเต็มไปหมด เพียงแค่เราปรากฏตัวในที่ไหนสักที่ มันจะมีเรื่องประทับใจเกิดขึ้นได้ หรือแม้แต่คนที่เราอาจจะขอบคุณเขาจากคำพูดของเขา ประสบการณ์ความคิดมุมมองของเขา”
“ในโลกนี้มันมีเรื่องที่น่าขอบคุณเต็มไปหมด เพียงแค่เราปรากฏตัวในที่ไหนสักที่ มันจะมีเรื่องประทับใจเกิดขึ้นได้ หรือแม้แต่คนที่เราอาจจะขอบคุณเขาจากคำพูดของเขา ประสบการณ์ความคิดมุมมองของเขา เวลาเขาเล่าอะไรให้เราฟัง แล้วรู้สึกว่า โอ้ มันดีจังเลย แล้วก็ในบางวันที่มันอาจจะไม่ได้มีเรื่องดี แต่เราพยายามทำความเข้าใจกับมัน มันก็เป็นสิ่งที่เราสามารถสำนึกขอบคุณมันได้เหมือนกัน”
การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นเมื่อเขียน Journal เป็นประจำ
“อันหนึ่งที่รู้สึกว่าเป็นความเปลี่ยนแปลงของตัวเองเลยก็คือ แต่ก่อนเป็นคนที่กลัวคน เวลาที่ต้องไปเจอคนแปลกหน้า ก็จะมีความรู้สึกว่าเรากลัวเขา เราไม่มั่นใจในตัวเอง เราอาจจะนึกไม่ออกว่าจะพูดอะไรกับเขาดี จะมีบทสนทนาอะไรกับเขาหรือเปล่า จริงๆ แล้ว Journal เนี่ยมันอาจจะเกิดขึ้นจากการที่เราไปเจอคน แล้วได้ฟังเขาด้วย พอเราฟังเขา แล้วเราได้เก็บเกี่ยวอะไรบางอย่างที่ดีของเขามา เราสามารถที่จะชมเขาได้อย่างจริงใจ หรือคุยกับเขาได้อย่างจริงใจ ก็ได้ค้นพบว่าจริงๆ แล้วมันก็เกิดบรรยากาศที่ดีต่อกันได้กับคนที่แม้เราเพิ่งเคยเจอเป็นครั้งแรก”
ความหมายของการขอบคุณต่อชีวิตและสังคม
“การขอบคุณช่วยให้เราได้รู้จักตัวเองมากขึ้น เพราะมันพาเราไปสู่มุมมองใหม่ๆ มันทำให้เราได้ออกไปสู่พื้นที่ที่เราอาจจะไม่เคยได้เห็นและไม่เคยได้คิด เพราะว่าเวลาที่เราเขียนสำนึกขอบคุณมันก็คือการที่เราได้ลองสวมแว่นอีกอันหนึ่ง เป็นแว่นที่มันอาจจะชวนให้เรามองโลกในชีวิตของเราทั้งหมดว่าเราจะเห็นอะไรบ้าง ที่เรารู้สึกว่ามันดีจังเลย มันพาเราไปสู่การเห็นโลกใบเดิมด้วยมุมใหม่ในโลกแวดล้อมเดิม แล้วความเข้าใจในตัวเองมันเกิดขึ้นแน่นอนอยู่แล้ว เพราะว่าคนเรามันใช้ศักยภาพแคบมาก มันมีวิธีคิดที่มันซ้ำเดิม ทีนี้ถ้าเกิดว่าเราไม่ได้ออกกำลังกายสมอง ไม่ได้ทดสอบมุมมอง หรือสำรวจความเป็นไปได้ที่มันมากขึ้น เราจะเป็นคนที่คิดอะไรเหมือนเดิม ถ้าเราเป็นคนขี้หงุดหงิด เราก็จะหงุดหงิดเหมือนเดิม ถ้าเราเป็นคนขี้อิจฉา เราก็จะอิจฉาเหมือนเดิม แต่ถ้าเราลองเติมเข้าไปว่าในความรู้สึกเป็นลบ เราสามารถที่จะขอบคุณมันได้ยังไงบ้าง สมมติเพื่อนคนนั้นได้รางวัลว่ะ เราจะขอบคุณเหตุการณ์นี้ได้ยังไงจากที่เราอาจจะเคยรู้สึกอิจฉาเขาก็ได้ เออ ขอบคุณว่ะ ที่เขาแสดงให้เห็นเป็นตัวอย่างที่ดีอะไรอย่างนี้ สิ่งเหล่านี้มันก็จะทำให้เราได้ไปค้นเจอมุมที่เราอาจไม่เจอก็ได้ ถ้าเรายังคงคิดในลักษณะเดิมอยู่”
“ตอนนี้คิดเรื่องพวกนี้บ่อยมากว่า ชีวิตเรามันดำเนินไปในการตื่นขึ้นมาในแต่ละวัน มันมีมุมมองได้สองแบบ คือว่ารู้สึกว่าชีวิตนี้มันขาดแคลนมากเลย เรายังมีไม่พอ ก็อาจคิดว่าเราไม่โอเคเลยกับสิ่งที่เรามี เราจึงพยายามไปคว้าอย่างอื่นเข้ามาเป็นของเราอีก แต่มุมมองอีกแบบก็คือว่า เราอยู่บนโลกนี้ด้วยความรู้สึกที่โลกนี้มันสมบูรณ์มากเลย แค่เดินออกไปข้างนอก พระอาทิตย์ส่องแสงดีมากๆ ต้องขอบคุณนะ ถ้าไม่มีพระอาทิตย์ก็คงไม่มีชีวิตแล้ว ช่วงนี้ไม่ฝุ่น PM2.5 เลยว่ะ คือความธรรมดาเนี่ยเป็นเรื่องที่ต้องขอบคุณนะครับ โลกนี้จึงควรค่าแก่การขอบคุณทุกวินาทีจริงๆ”
“การขอบคุณไม่ได้ส่งผลแค่กับตัวเรา แต่ยังส่งผลต่อสังคมอย่างมหาศาล เพราะเมื่อคนหนึ่งรู้สึกดี พลังงานนั้นก็จะถูกส่งต่อไปยังคนรอบข้าง เหมือนเป็นจิ๊กซอว์แห่งความสุขที่ต่อกันไปเรื่อยๆ การขอบคุณจึงเป็นเหมือนคำตอบที่ทำให้เราเห็นคุณค่าของชีวิต และเข้าใจตัวเองมากขึ้น มันคือการให้คำตอบตัวเอง ว่าเรามีชีวิตไปทำไม หรือเพื่ออะไร?”
“การขอบคุณไม่ได้ส่งผลแค่กับตัวเรา แต่ยังส่งผลต่อสังคมอย่างมหาศาล เพราะเมื่อคนหนึ่งรู้สึกดี พลังงานนั้นก็จะถูกส่งต่อไปยังคนรอบข้าง เหมือนเป็นจิ๊กซอว์แห่งความสุขที่ต่อกันไปเรื่อยๆ”
หากเอ๋ นิ้วกลม มอบสมุดบันทึกให้ใครสักคนได้?
“จริงๆ คิดถึงคนแก่สักคนหนึ่ง ซึ่งตอนนี้เท่าที่คิดออกก็คือพ่อตัวเอง ก็อยากให้เขา ที่อยากให้เขาไม่ใช่เพราะอะไร อยากอ่านว่าเขาจะขอบคุณอะไรบ้างในชีวิต ถามว่าทำไมถึงอยากอ่าน? ก็คืออยากรู้ว่าเขารู้สึกว่าชีวิตเขามีอะไรที่ดี ที่เขาอยากจะขอบคุณบ้าง แล้วก็คาดหวังว่าในบางหน้าในบางบรรทัดน่าจะมีชื่อเราอยู่บนปกสมุดเล่มนั้นก็คงจะเขียนว่า ‘สมุดบันทึกเรื่องที่น่าขอบคุณ’ แล้วก็เขียนว่า ‘ขอบคุณป๊าด้วย’