สายโอมากาเสะตัวจริงคงจะคุ้นชินกับ Umi ที่สร้างตำนานความอร่อยสาขาแรกที่สุขุมวิท 49 และย้ายไปยังสาขา Gaysorn ก่อนที่จะขยายสาขาไปยัง Velaa Sindhorn หากนับนิ้วดูแล้วก็เป็นเวลาร่วม 10 ปีพอดิบพอดี ทว่าพื้นที่ทำเลทองใหม่ที่ได้มานั้นจุดประกายให้บรรดาหุ้นส่วนเกิดไอเดียการทำบาร์อิซากายะข้างๆ ซะเลย และนี่จึงเป็นที่มาของชื่อ ‘BESIDES Umi’
The Vibe
เดินเข้ามาในตัวบาร์จะเห็นได้ถึงการตกแต่งสไตล์โมเดิร์น เคล้ากับดนตรีที่มีความอัปบีตประมาณหนึ่ง ซึ่งเป็นความตั้งใจของ ณัฐ พงศ์ธนากร หนึ่งในหุ้นส่วน Umi และ BESIDES Umi ที่ไม่อยากให้บรรยากาศร้านมีความญี่ปุ่นจ๋ามากจนเกินไป
ตัวร้านยังมีทั้งพื้นที่หน้าบาร์สำหรับสายโซโล่ หรือใครที่อยากแวะมาจิบดริงก์พลางดูเชฟทำอาหารเพลินๆ และโต๊ะรองรับลูกค้าแบบกลุ่ม ด้วยขนาดของพื้นที่ภายในร้านแล้วเราก็จะรู้สึกได้ถึงความไพรเวตระดับหนึ่ง
หากแหงนไปมองด้านบนของเคาน์เตอร์บาร์ก็จะเห็นลิสต์แอลกอฮอล์ที่ส่วนใหญ่เป็นของญี่ปุ่นเรียงรายกันอย่างสวยงาม ไม่ว่าจะเป็นจิน, วิสกี้, สาเก หรืออูเมะชู ที่ล้วนคัดสรรมาอย่างดี
The Taste
BESIDES Umi เน้นออกแบบเมนูให้มีความพรีเมียมเป็นหลัก และมีการทวิสต์รสชาติของเมนูประจำชาติอิซากายะให้มีความคราฟต์และมีรสชาติที่มีเอกลักษณ์ เริ่มกันที่อาหารกินเล่นเรียกน้ำย่อยก่อนกับ
Tsnuke Served with Two Types of Marinated Egg (350 บาท) ลูกชิ้นเอ็นไก่ไซส์พอดีคำย่างเสิร์ฟมาพร้อมไข่ดองสองเวอร์ชัน เท็กซ์เจอร์จะมีความกรุบๆ เล็กน้อย จิ้มกินกับไข่ดองได้รสชาติเข้มข้นไปอีกแบบ
ต่อด้วย Ezo Awabi with Kimo Sauce Croquette (600 บาท) ยกระดับโคร็อกเกะแบบดั้งเดิมด้วยการทำเป็นไส้เป๋าฮื้อและซอสตับ ที่เห็นเป็นทรงกลมแบบนี้เพราะฐานด้านล่างเป็นเปลือกเป๋าฮื้อของจริง เสิร์ฟบนเกลือขาวนวลเพื่อให้เซ็ตตัว (อย่าเผลอไปตักกินเชียว)
หากตักตอนเสิร์ฟร้อนๆ ก็จะเจอกับครีมตับคล้ายลาวาปะทุออกมา รสชาติครีมมี่มันปาก เป็นอีกมิติรสชาติของโคร็อกเกะที่อยากให้ลอง
เจอซีฟู้ดไปเมื่อครู่แล้วก็อย่าให้ขาดตอน ต่อด้วย Marinated Watari Kani (780 บาท) ซึ่งใครที่เป็นสายปูดองสไตล์ญี่ปุ่นก็คงจะคุ้นเคยกับรสชาติน้ำดองหวานเค็มกันดี แต่สำหรับที่นี่ขอหยิบยกความเป็นไทยมาเพิ่มความพิเศษในการกินด้วยการเสิร์ฟพร้อมน้ำจิ้มซีฟู้ด ช่วยตัดเลี่ยนได้อย่างดี ส่วนเนื้อปูนั้นสดหวานอยู่แล้ว กินแบบไหนก็อร่อย
อีกหนึ่งเมนูที่ร้านภูมิใจนำเสนอมากเป็นพิเศษคือเมนู ‘เนื้อ’ เริ่มกันที่ Nikujaga (Japanese Meat and Potato Stew) สตูเนื้อมันฝรั่งสไตล์ญี่ปุ่นเสิร์ฟมาพร้อมกับเส้นบุกและมันฝรั่งทรงกลม เท็กซ์เจอร์เนียนละมุน ไม่กัดแล้วร่วนแตก กินคู่กับเนื้อและเส้นพร้อมซดซุปรสหวานเค็มตามแล้วคือฟิน
หากอยากดื่มด่ำกับเนื้อพรีเมียมอีกระดับ แนะนำให้จิ้มจากเมนูที่ขึ้นโชว์บนกระดาน Today’s Recommendation อย่าง Harami (1,400 บาท / 100 กรัม) บอกเลยว่าคือ A Must! เนื้อฮารามิคัดสรรพิเศษย่างระดับมีเดียมแรร์ นุ่มแทรกมันกำลังดี ใครที่ชอบเท็กซ์เจอร์ที่ยังได้เคี้ยว ดื่มด่ำกับรสชาติเนื้อแต่พอมีมันละลายในปากบ้างจะต้องตกหลุมรักจานนี้แน่นอน
อีกจานเนื้อที่ควรลองคือ Organic Ground Beef Japanese Curry Rice (400 บาท) ข้าวแกงกะหรี่เนื้อบดออร์แกนิกสไตล์ญี่ปุ่น ซึ่งสูตรของร้านจะมีการใส่ช็อกโกแลตเข้าไปเพื่อรสชาติที่เข้มข้นยิ่งขึ้น ส่วนเนื้อที่ใช้ก็ยังเป็นเนื้อที่ณัฐ หุ้นส่วนของร้านเลี้ยงเองอีกด้วย รสชาติออกสไตล์โฮมมี่ เข้าใจง่าย ถ้าใครที่มาคนเดียวและอยากหาเมนูที่อิ่มท้องจบได้ในจานเดียว จานนี้คือตอบโจทย์
อย่างที่บอกว่าที่นี่จะมีการทวิสต์เมนูยืนพื้นของอิซากายะให้มีเอกลักษณ์ยิ่งขึ้น ปีกไก่ทอดแบบเดิมๆ เลยถูกนำมาตีความเป็น Chicken of the Sea (300 บาท) ปีกไก่ทอดยัดไส้ลูกชิ้นกุ้งและปลาหมึก ซึ่งตัวปลาหมึกจะเป็นการปรุงรสแบบญี่ปุ่นด้วยโชยุ มิริน สาเก แล้วคลุกกับตัวหมึกอีกที ส่วนสีส้มด้านข้างนั้นไม่ใช่แครอตแต่อย่างใด แต่เป็นรากโสมให้เคี้ยวเพลินๆ รสชาติของจานนี้จะค่อนข้างเข้มข้น เหมาะจะเป็นเมนูกับแกล้มอย่างดีเลยแหละ
ปิดท้ายด้วย Chicken Karaage Taro-Narazuke Tartare (250 บาท) ไก่คาราอะเกะกับซอสทาร์ทาเผือกและผักดองญี่ปุ่น เนื้อไก่ทอดมาได้กรอบนอกนุ่มในกำลังดี ตัวซอสจะมีเท็กซ์เจอร์หนึบเด้งและให้ความหอมของเผือก จิ้มกินกับไก่แล้วบิดมะนาวตามอีกนิดคืออร่อยลงตัวสุดๆ
Good for
ใครที่มองหาอิซากายะในเวอร์ชันที่พรีเมียมท่ามกลางบรรยากาศที่สบาย ไม่พลุกพล่าน ร้านไม่แออัด แถมยังเหมาะกับการนั่งจิบดริงก์ฟังเพลงไปยาวๆ ทั้งคืน BESIDES Umi คือตอบโจทย์ จะมาเป็นกลุ่มหรือมาคนเดียวก็ไม่ต้องเคอะเขิน เพราะเจ้าของร้านและเชฟชวนคุยเก่งแบบไม่มีเบื่อแน่นอน
BESIDES Umi
Open: ทุกวัน เวลา 12.00-14.00 น. และ 18.00-23.30 น.
Address: Velaa Sindhorn Village
Instagram: https://www.instagram.com/besides_umi_velaa/
Tel: 06 1961 4949
Budget: จานหลักเริ่มต้นที่ 300 บาท
Map: