×

Heritage in a Glass คุยกับ 4 บาร์ดังในเอเชีย ที่กลั่นวัฒนธรรมท้องถิ่นลงในค็อกเทล

01.09.2025
  • LOADING...
asian-bars-local-culture-cocktails

ค็อกเทลไม่ใช่แค่เครื่องดื่ม แต่คือสื่อกลางในการเล่าเรื่องวัฒนธรรม ความทรงจำ และอัตลักษณ์ท้องถิ่น ในยุคที่บาร์ไม่เพียงต้องมีรสชาติดี แต่ยังต้องมี ‘ตัวตน’ ชัดเจนให้แขกสามารถสัมผัสได้จากการดื่ม หลากหลายบาร์ทั่วเอเชียจึงหันมาใช้ ‘วัฒนธรรมท้องถิ่น’ เป็นหัวใจของการออกแบบเมนู และนั่นทำให้บาร์ซีนในเอเชียสนุกและมีความหลากหลายไม่แพ้ทวีปอื่นในโลก

 

ในเซคชั่น Meet the Bartender ที่เกิดขึ้นช่วงงานประกาศรางวัล ‘Asia’s 50 Best Bars 2025’ เราได้พูดคุยกับ 4 บาร์แถวหน้า จาก 5 เมืองใหญ่ ได้แก่ Penicillin (ฮ่องกง, เซี่ยงไฮ้), Penrose (กัวลาลัมเปอร์), Bar Us (กรุงเทพฯ) และ Vender (ไถจง, ไต้หวัน) ถึงแนวคิดและวิธีการที่พวกเขานำวัฒนธรรม มรดก และความทรงจำร่วม มาเล่าเรื่องตัวตนผ่านเครื่องดื่ม จนกลายเป็นดริ๊งก์ที่นักดื่มชื่นชอบ และเป็นที่จดจำในใจ

 

บาร์แถวหน้าของเอเชีย ค็อกเทลเล่าเรื่องวัฒนธรรม บาร์แถวหน้าของเอเชีย ค็อกเทลเล่าเรื่องวัฒนธรรม

 

Penicillin, Hong Kong & Shanghai

ค็อกเทลทดลองที่ซ่อนไว้ด้วยความยั่งยืนและความทรงจำ

 

ในวันที่คำว่า ‘รักษ์โลก’ ไม่ได้เป็นแค่เทรนด์ แต่กลายเป็นรากของการออกแบบประสบการณ์ดื่ม Penicillin คือหนึ่งในบาร์ที่วางรากฐานด้านความยั่งยืนได้ชัดเจนที่สุดในเอเชีย บาร์นี้ก่อตั้งโดย Agung Prabowo และ Laura Prabowo ซึ่งมีพื้นเพจากอินโดนีเซีย โดยมี Jamie McCleave ร่วมทีมในฐานะ General Manager ของ Penicillin Shanghai ที่ช่วยขยายแนวคิดนี้สู่จีนแผ่นดินใหญ่

 

“Agung และ Laura เติบโตมากับการหมักข้าวและใบตอง ส่วนผมโตมากับไซเดอร์ในอังกฤษ ทั้งหมดนี้ไหลรวมกันในกระบวนการหมักของเรา มันคือรากวัฒนธรรมของพวกเราทุกคน” –  Jamie McCleave

 

Penicillin มีชื่อเสียงจากการใช้วัตถุดิบหมักและกลั่นเองภายในบาร์ ตั้งแต่เปลือกส้มใช้แล้วไปจนถึงเศษผักดองทุกอย่างล้วนถูกรีไซเคิลอย่างมีรสชาติ โดยหนึ่งในพื้นที่สำคัญคือ The Stinky Room หรือห้องหมัก ที่ทีมงานใช้หมักเบสต่างๆ เพื่อสร้างรสซับซ้อนในแต่ละแก้ว

 

บาร์แถวหน้าของเอเชีย ค็อกเทลเล่าเรื่องวัฒนธรรม บาร์แถวหน้าของเอเชีย ค็อกเทลเล่าเรื่องวัฒนธรรม

 

เมื่อเปิดสาขาในเซี่ยงไฮ้ พวกเขายังคงยึดแนวคิดเดิมแต่ขยายสเกลให้ใหญ่ขึ้น พร้อมใช้วัตถุดิบจากท้องถิ่นจีนมากขึ้น เช่น ผักกาดดอง เห็ด และแม้แต่ลูกอม ‘กระต่ายน้อย’ ที่หลายคนจดจำได้จากวัยเด็ก ซึ่งหนึ่งในเมนูที่เล่าเรื่องได้ชัดคือ ‘Rum + Rabbit Candy’ ที่ใช้เหล้ารัมผสมกล้วย เวย์ และน้ำคื่นฉ่ายจีน เสิร์ฟพร้อมกระดาษห่อลูกอมที่กินได้ ความ playful นี้ ไม่ได้มาเพื่อเรียกความสนใจ แต่เป็นสะพานเชื่อมจากอดีตสู่ปัจจุบัน

 

“ในแง่วัฒนธรรม ฮ่องกงกับเซี่ยงไฮ้ต่างกันมาก เราจึงพยายามหาสมดุลระหว่างวัฒนธรรมท้องถิ่นกับสไตล์เฉพาะของเรา ทั้งในวิธีที่เราออกแบบเมนู และวิธีที่เราฝึกทีมงาน เราไม่เปลี่ยนรสชาติเครื่องดื่มเลย เพราะสไตล์ของ Penicillin คือความซับซ้อนและความไม่เหมือนใคร เราแค่ปรับวัตถุดิบที่ใช้ให้เข้ากับท้องถิ่นเพื่อความยั่งยืน DNA ของเรายังคงเดิม แต่เราใช้ของที่หาได้ในท้องถิ่น เหมือนที่เราทำในฮ่องกง” – Agung Prabowo

 

ความพิเศษอีกอย่างคือ พวกเขาเลือกใช้เมนูภาษาอังกฤษแม้ในเซี่ยงไฮ้เพื่อเปิดโอกาสให้บาร์เทนเดอร์ได้เล่าเรื่องให้ลูกค้าฟังด้วยตนเอง ทั้งหมดนี้สะท้อนความตั้งใจที่จะทำให้การดื่มไม่ใช่แค่ความบันเทิง แต่เป็นบทสนทนาเล็กๆ ที่เกิดขึ้นระหว่างคนกับแก้ว

 

“ค็อกเทลของเราอาจไม่ใช่สำหรับทุกคน คุณอาจรักมันหรือไม่ชอบเลยก็ได้ แต่นั่นไม่ใช่ปัญหา สำคัญคือการสื่อสารกับลูกค้าอย่างมีความสุขและถ่อมตัว เราไม่ได้เข้าไปแบบอีโก้สูงๆ แล้วบอกว่า ‘เธอควรลองสิ่งนี้นะ มันเจ๋งมาก’ ถึงเครื่องดื่มเราจะซับซ้อน มีเรื่องราวเยอะ แต่สุดท้ายมันก็แค่ค็อกเทล เราอยากให้มันสนุก เป็นกันเอง และสร้างประสบการณ์ดีๆ – Agung Prabowo

 

บาร์แถวหน้าของเอเชีย ค็อกเทลเล่าเรื่องวัฒนธรรม บาร์แถวหน้าของเอเชีย ค็อกเทลเล่าเรื่องวัฒนธรรม

 

Penrose, Kuala Lumpur

สร้างวัฒนธรรมค็อกเทลจากกรอบคลาสสิก

 

ถ้าเอ่ยถึงบาร์ในมาเลเซียที่ประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็วเห็นที่จะไม่พ้น Penrose บาร์ดีย่านคนจีนในกัวลาลัมเปอร์ที่ก่อตั้งโดย Jon Lee ในปี 2022 จุดเด่นของ Penrose คือบาร์ออกแบบให้เหมือนห้องนั่งเล่นที่ชวนให้เกิดบนสนทนาและสร้างความสัมพันธ์ระหว่างกัน 

 

“มาเลเซียยังใหม่มากในวงการค็อกเทล เรากำลังพยายามสร้างวัฒนธรรมขึ้นมาเอง  แม้ผมจะเติบโตมาจาก The Savoy แต่เราไม่อยากลอกสไตล์ลอนดอน แต่อยากสร้างสิ่งของเราขึ้นมาใหม่” – Jon Lee

 

ในขณะที่หลายบาร์พยายามนำเสนอ ‘ท้องถิ่น’ อย่างโจ่งแจ้ง Penrose กลับเลือกใช้ความนิ่งและความเนียบของคลาสสิกค็อกเทลเป็นเบส แล้วค่อยๆ ผสานเรื่องราวของท้องถิ่นลงไป ทำให้นักชิมซึมซับวัฒนธรรมของมาเลย์ผ่านเครื่องดื่มแบบไม่ทันรู้ตัว 

 

เมนูค็อกเทลของ Penrose ถูกออกแบบโดยมีหลักสำคัญ 5 ประการ ได้แก่ แอลกอฮอล์, รสชาติ, รสสัมผัส, เนื้อสัมผัสของเครื่องดื่ม และการเจือจาง โดยทั้ง 15 เมนูในเล่มต่างเป็นการตีความสูตรคลาสสิกในแบบร่วมสมัย

 

บาร์แถวหน้าของเอเชีย ค็อกเทลเล่าเรื่องวัฒนธรรม

 

“ก่อนที่เราจะเปิด Penrose บาร์ใน KL ส่วนใหญ่ใช้วัตถุดิบท้องถิ่นอยู่แล้ว เราเองก็ใช้วัตถุดิบท้องถิ่นเช่นกัน แต่จะไม่ประกาศอย่างโจ่งแจ้ง เราเลือกส่วนผสมที่ทุกคนรู้จัก แต่จะนำเสนอในสไตล์คลาสสิก เช่น การใส่วัตถุดิบบางอย่างที่ให้ความรู้สึกคุ้นเคย แต่จริงๆ แล้วไม่ได้ใส่ลงไปจริง

 

“เราไม่ได้เปลี่ยนสูตรคลาสสิก แต่เรานำความเป็นมาเลเซียใส่เข้าไปในจังหวะและกลิ่นของมัน ที่นี่ไม่มีการโวยวาย ไม่มีการขู่เข็ญให้แขกรู้จักท้องถิ่น แต่ใช้วิธีให้แขก ‘ลิ้มรส’ แทน ทั้งหมดนี้เพื่อปั้นวัฒนธรรมค็อกเทลของกัวลาลัมเปอร์ขึ้นมาใหม่อย่างมีราก”

 

หนึ่งในซิกเนเจอร์ของที่นี่คือ Banana Daiquiri ที่ใช้กล้วยกลั่น (distilled banana), มะขาม, พริกไทยปิเมนโต (pimento berry) และถั่วตองกา (tonka bean) เป็นส่วนผสม สะท้อนให้เห็นถึงความใส่ใจของ Penrose ที่ต้องการมอบประสบการณ์ค็อกเทลอย่างรอบด้าน ไม่ใช่แค่รสชาติ แต่รวมถึงบรรยากาศ, การบริการ และดนตรี

นอกจากนี้ บรรยากาศที่อบอุ่นและเชื่อมโยงกันยังเป็นจุดเด่นที่ทำให้ Penrose ไม่ใช่แค่บาร์ แต่กลายเป็น Community Hub ที่เชิญชวนให้ผู้คนมาแลกเปลี่ยนเรื่องราว และเปิดใจกัน ณ เคาน์เตอร์เดียวกัน

 

บาร์แถวหน้าของเอเชีย ค็อกเทลเล่าเรื่องวัฒนธรรม บาร์แถวหน้าของเอเชีย ค็อกเทลเล่าเรื่องวัฒนธรรม

 

Bar Us, Bangkok

เสิร์ฟความเป็นไทยแบบฟูลคอร์ส

 

บาร์อันดับ 4 ของเอเชียใน Asia’s 50 Best Bar 2025 ที่เสิร์ฟความเป็นไทยผ่านค็อกเทลแบบฟูลคอร์ส ผลงานของทีมบาร์เบื้องหลังเดียวกับ Messenger Service บาร์ในตึกเก่าที่ได้รับรางวัลบาร์ดีไซน์ยอดเยี่ยม 2025 จากสถาบันเดียวกัน ความน่าสนใจของที่นี่ก็การออกแบบเมนูบาร์ให้เหมือนคอร์สอาหาร เริ่มตั้งแต่ Starter ที่เบา สดชื่น ไปจนถึง Main รสชาติเข้มข้น และ After ที่ให้กลิ่นอายหวานปิดท้าย

 

“เรามองค็อกเทลเหมือนมื้ออาหาร มีจานหลัก จานรอง และของหวาน ทุกอย่างต้องสมดุลและเล่าเรื่องเดียวกันได้ เราไม่ได้อยากทำ Bar Us ให้เป็นแค่บาร์ แต่อยากให้เป็นเหมือนโต๊ะอาหารที่คนมาแบ่งปันรสชาติไทยกันแบบจริงจัง” 

 

หนึ่งในค็อกเทลที่เป็นซิกเนเจอร์ของร้านและได้รับความนิยมคือ ‘Pad Thai’ ค็อกเทลที่ได้แรงบันดาลใจจากอาหารจานเดียวยอดนิยมของคนไทย ใช้ทั้งกลิ่นหอมของหอมแดง ต้นหอม และความเปรี้ยวอมหวานแบบน้ำมะขาม สร้างรสชาติที่คุ้นแต่ไม่จำเจออกมาให้ชิม หรือ ‘Thai Tea Punch’ ที่ใช้ชาชงเข้มข้นแบบไทย ตีคู่กับความกลมกล่อมของนมและเครื่องเทศ

 

บาร์แถวหน้าของเอเชีย ค็อกเทลเล่าเรื่องวัฒนธรรม

 

“เราอยากให้แขกเข้าใจรสชาติแบบไทย โดยไม่ต้องกลัวเผ็ด” – Taln

 

ลูกค้าชาวต่างชาติที่มาเยือนมักเซอร์ไพรส์กับวัตถุดิบอย่างน้ำปลาในค็อกเทล หรือความเผ็ดแบบที่ต้องถามสองรอบ แต่เมื่อดื่มเข้าไปกลับพบว่ารสชาติเหล่านี้ไม่ใช่ของแปลก แต่คือสิ่งที่ทำให้พวกเขาเข้าใจวัฒนธรรมไทยผ่านประสาทสัมผัสมากกว่าภาษาพูด

 

Bar Us ไม่ใช่บาร์ที่เปิดมาเพื่อเอาใจใครเป็นพิเศษ พวกเขาแค่ชัดเจนกับตัวเอง และกล้านำเสนอให้นักดื่มรู้จักความเป็นไทยแบบซื่อๆ ผ่านแก้วเล็กๆ ที่จัดเต็มทุกรสชาติ และนั่นคือสิ่งที่ทำให้ที่นี่น่าจดจำ และโดดเด่น

 

บาร์แถวหน้าของเอเชีย ค็อกเทลเล่าเรื่องวัฒนธรรม บาร์แถวหน้าของเอเชีย ค็อกเทลเล่าเรื่องวัฒนธรรม

 

Vender, Taichung 

ความทรงจำในวัยเด็ก กลายเป็นค็อกเทลที่ดื่มได้

 

ถ้าคุณเคยใช้เวลาหยอดเหรียญหน้าตู้ของเล่น เคี้ยวลูกอมกระต่ายน้อย หรือซื้อน้ำเชื่อมแตงโมจากร้านโชห่วย คุณจะเข้าใจ Vender ทันที บาร์จากเมืองไถจง ไต้หวัน ไม่ได้แค่เล่าเรื่องผ่านวัตถุดิบหรูหรา แต่เลือกเล่าผ่านความทรงจำร่วมของคนเอเชีย โดยใช้วัฒนธรรมข้างถนน ขนม และเครื่องดื่มวัยเด็กมาเป็นแกนหลักของการออกแบบค็อกเทล

 

“เราอยากสร้างพื้นที่ที่มีอิสระในการดื่ม โดยใช้กลิ่นอายของร้านขายของหยอดเหรียญ ซึ่งเป็นวัฒนธรรมร่วมของชาวเอเชีย พอแขกเดินเข้ามาจะรู้สึกเหมือนได้ย้อนกลับไปในความทรงจำตอนเด็ก”

 

ที่ Vender คุณจะได้เห็นค็อกเทลตกแต่งด้วยสายไหม ลูกอมเคี้ยวหนึบ หรือแม้แต่ไข่มุกชานมอยู่ก้นแก้วแบบไม่ดูซับซ้อน เมนูอย่าง Watanabe ผสมเหล้าบ๊วยกับสายไหมและขนมของเล่น หรือ Bubble Pop ที่จับคู่ไข่มุกกับบ๊วยเปรี้ยว ได้รับแรงบันดาลใจจากตู้หยอดเหรียญและรสหวานที่คุณนึกถึงสมัยเป็นเด็ก

 

บาร์แถวหน้าของเอเชีย ค็อกเทลเล่าเรื่องวัฒนธรรม บาร์แถวหน้าของเอเชีย ค็อกเทลเล่าเรื่องวัฒนธรรม

 

ความน่าสนใจคือแม้จะดูสนุกและขี้เล่นแต่ Vender ก็ไม่ได้ทิ้งความจริงจังด้านเทคนิคและรสชาติ ทุกแก้วถูกพัฒนาให้ดื่มง่าย รสชาติบาลานซ์ และมีจุดเล่าเรื่อง เช่น การใช้ Wasanbon (น้ำตาลญี่ปุ่นโบราณ) แทนน้ำตาลธรรมดาใน Old Fashioned เพื่อให้สัมผัสถึงความละเอียดอ่อนแบบเอเชียโดยไม่ต้องอธิบายเยอะ

 

“เราคือเครื่องจำหน่ายความสุข ไม่ใช่แค่ขายค็อกเทล”

 

Vender ยังมีการจัดกิจกรรมสนุกๆ ในร้าน เช่น แข่งยิงช็อตแบบ free-flow 10 นาที หรือชวนแขกให้สุ่มรับของจากตู้หยอดเหรียญจริง ซึ่งอาจเป็นขนม แอลกอฮอล์ไซส์จิ๋ว หรือคำพูดให้กำลังใจ เป็นประสบการณ์ที่ทำให้คนดื่มรู้สึก ‘ได้รับ’ มากกว่าการดื่ม

 

และนี่แหละคือแก่นแท้ของ Vender—บาร์ที่ทำให้รอยยิ้มกลับมาอยู่ในวงการค็อกเทลอีกครั้ง ด้วยความทรงจำเรียบง่ายที่ทุกคนเคยมีร่วมกัน แม้จะโตกันคนละประเทศก็ตาม

 

ภาพ: Courtesy of Brand

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising