×

Liberator จัดงาน ‘LIB Talks Finale 2023’ ดึงกูรูนักลงทุนสรุปทิศทางตลาดหุ้นไทย-เทศ ปี 2024 พร้อมเปิดตัว ‘LIBFAM Model’ โมเดลธุรกิจจัดเก็บค่าคอมฯ แบบเหมาจ่าย [ADVERTORIAL]

โดย THE STANDARD TEAM
21.12.2023
  • LOADING...
LIB Talks Finale 2023

HIGHLIGHTS

  • บล.ลิเบอเรเตอร์ จัดงานสัมมนาส่งท้ายปี ‘LIB TALKS FINALE 2023’ ดึงกูรูนักลงทุนรุ่นเก๋า นักลงทุนรุ่นใหม่ไฟแรง พร้อมยกทัพทีมนักวิเคราะห์จากลิเบอเรเตอร์ มาร่วมพูดคุยอัปเดตทิศทางการลงทุนตลาดหุ้นทั้งไทย-ต่างประเทศในปี 2024 
  • พร้อมเปิดตัวโมเดลธุรกิจ ‘LIBFAM Model’ การจัดเก็บค่าคอมฯ แบบเหมาจ่าย เพื่อให้นักลงทุนสามารถคำนวณต้นทุนการเทรดได้ง่ายขึ้นและประหยัดมากขึ้น พร้อมเปิดให้บริการในวันที่ 1 มีนาคม 2024 โดยสามารถเทรดได้ทั้งหุ้นไทย อนุพันธ์ และหุ้นอเมริกา
  • 4 ประเด็นสำคัญจากมุมมองของกูรูนักลงทุนที่น่าสนใจ ได้แก่ ภาพรวมตลาดทุนปี 2023 พร้อมวิธีรับมือกับตลาดปี 2024, มุมมองและแนวคิดการลงทุนแบบพื้นฐานทั้งหุ้นไทยและหุ้นอเมริกา, ส่องตลาดหุ้นไทยปีหน้า ลุ้นฟื้นรับปีมังกรทอง และขุดหุ้นแต่หัววัน สไตล์​ LIB และ Excel อาวุธคู่กายนักลงทุน สำหรับผจญภัยกับตลาดในปี 2024

บล.ลิเบอเรเตอร์ จัดงานสัมมนาส่งท้ายปี ‘LIB Talks Finale 2023’ ดึงกูรูนักลงทุนรุ่นเก๋า นักลงทุนรุ่นใหม่ไฟแรง พร้อมยกทัพทีมวิเคราะห์จากลิเบอเรเตอร์มาร่วมพูดคุยอัปเดตทิศทางการลงทุนตลาดหุ้นทั้งไทย-ต่างประเทศในปี 2024 พร้อมเปิดตัวโมเดลธุรกิจ ‘LIBFAM Model’ การจัดเก็บค่าคอมฯ แบบเหมาจ่าย เพื่อให้นักลงทุนสามารถคำนวณต้นทุนการเทรดได้ง่ายขึ้นและประหยัดมากขึ้น เมื่อวันเสาร์ที่ 2 ธันวาคมที่ผ่านมา ณ หอประชุมศาสตราจารย์สังเวียน อินทรวิชัย อาคารตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย   

 

 

สรุปโรดแมปและการพัฒนาโมเดลใหม่ ‘LIBFAM Model’  

 

ตูน-ภาวลิน ลิมธงชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บล.ลิเบอเรเตอร์ เล่าถึงการเดินทางของลิเบอเรเตอร์เพื่อการเปลี่ยนแปลงในโลกลงทุนที่ทุกคนเท่ากันใน 1 ปีที่ผ่านมา กับรางวัลมากมาย ได้แก่ โบรกเกอร์อันดับ 1 ประเภทหุ้นสามัญ (Equity), รางวัลโบรกเกอร์อันดับ 2 ประเภทอนุพันธ์ (TFEX), รองชนะเลิศอันดับ 1-4 TikTok Broker Star จากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย, จัดอีเวนต์และคลาสต่างๆ เพื่ออัปเดตความรู้ให้แก่นักลงทุนกว่า 30 คลาส  

 

 

“เรานำทุกฟีดแบ็กที่ได้มาปรับปรุงเพื่อพัฒนาให้ลิเบอเรเตอร์เป็นแพลตฟอร์มการลงทุนที่ทุกคนเท่าเทียมและลงทุนอย่างยั่งยืน ปีนี้เราเปิดตัว Subscription Model ที่จะทำให้การคำนวณต้นทุนเป็นเรื่องง่ายและเท่าเทียมกันในโลกของการลงทุน และภายในปี 2024 เราจะพัฒนาและเพิ่มผลิตภัณฑ์ต่างๆ เช่น US Option, SBL และ Global Trading”  

 

Subscription Model หรือโมเดลค่าคอมฯ แบบเหมาจ่ายเรียกว่า ‘LIBFAM Model’ เกิดจากการต่อยอดแนวคิดที่จะสร้าง ‘โลกลงทุนที่ทุกคนเท่ากัน’ ด้วยการเปิดบริการค่าคอมฯ ฟรีทุกธุรกรรมการเทรด เริ่มตั้งแต่ต้นปี 2023 ซึ่งได้รับเสียงตอบรับอย่างดีจากนักลงทุนตั้งแต่รุ่นเล็กจนถึงรุ่นใหญ่ 

 

 

เราได้ช่วยนักลงทุนประหยัดค่าคอมมิชชันในปี 2023 ไปแล้วกว่า 219 ล้านบาท

 

จุดเด่นของ LIBFAM Model คือนักลงทุนจะได้รับบริการและการจ่ายค่าธรรมเนียมที่โปร่งใส ในเรทค่าคอมฯ แบบคงที่ (Flat Fee) เหมาจ่ายในราคาโปรโมชันแบบแพ็กเกจขนาดเล็ก (S), ขนาดกลาง (M) และขนาดใหญ่ (L) เลือกได้ตามสไตล์ที่เหมาะสมกับการเทรดตนเอง 

 

“สำหรับลูกค้าที่ตัดสินใจเลือกแพ็กเกจไม่ได้ เรามีแพ็กเกจ LIBFAM Model Basic ให้เทรด 2 ไม้ฟรีต่อเดือน แบบไม่มีค่าคอมมิชชัน ส่วนไม้ที่สามและไม้ต่อๆ ไปจะคิดค่าคอมฯ ต่อธุรกรรมในราคาประหยัด” 

 

 

ทั้งนี้ แพ็กเกจ LIBFAM Model จะแบ่งตามมูลค่าการเทรดต่อเดือน ซึ่งหลายครั้งนักลงทุนไม่ทราบว่าค่าคอมฯ ที่จ่ายไปแต่ละครั้งมีมูลค่าเท่าไรในแต่ละเดือน ในแอปพลิเคชัน Liberator จะมีเมนูที่สามารถเรียกดูรายงานค่าคอมฯ ที่ประหยัดไปได้ในแต่ละช่วงเวลาที่ลงทุนผ่านแอปฯ โดยสามารถกดไปที่เมนู You > Report > Commission Save 

 

“LIBFAM Model สำหรับลูกค้าเก่าที่เปิดบัญชีจนถึงวันที่ 15 ธันวาคม 2023 จะสามารถเทรดฟรีไม่มีค่าคอมได้จนถึงวันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2024 ก่อนจะเริ่มเก็บค่าคอมฯ LIBFAM Model ตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2024 เป็นต้นไป โดยสามารถเทรดได้ทั้งหุ้นไทย อนุพันธ์ และหุ้นอเมริกา”  

 

 

อีกหนึ่งไฮไลต์สำคัญของงาน คือการรับฟังมุมมองจากกูรูนักลงทุนรุ่นเก๋าและนักลงทุนรุ่นใหม่ไฟแรงในประเด็นต่างๆ ที่น่าสนใจเกี่ยวกับทิศทางการลงทุนของตลาดหุ้นทั้งไทยและต่างประเทศในปี 2024 และนี่คือ 4 ประเด็นสำคัญที่ THE STANDARD สรุปมาจากเวที LIB Talks Finale 2023’   

 

1. ภาพรวมตลาดทุนปี 2023 พร้อมวิธีรับมือกับตลาดปี 2024 

 

เสี่ยป๋อง-วัชระ แก้วสว่าง กล่าวว่า ตลาดไทยยังคงมีความน่าสนใจในการลงทุน เพราะอยู่ใกล้ตัว แค่ต้องปรับกลยุทธ์การลงทุนให้เน้นเป็นสายพื้นฐานมากขึ้น หรือนำเทคโนโลยีมาปรับใช้ในการเทรด กลยุทธ์รายวันจะใช้น้อยลง แต่กราฟยังต้องใช้เพื่อหาหุ้น ใช้เทคนิค MACD Timeframe Month เข้ามาช่วยวิเคราะห์ ส่วนตัวมองว่าปีหน้าโอกาสที่ตลาดจะกลับตัวยังมี เนื่องจากตลาดไทยไม่เคยลงติดต่อกันเป็นระยะเวลา 2 ปีติดต่อกัน 

 

ด้าน มานิตย์ ศรายุทธิกรณ์ Full-Time Traders บอกว่า “ผมตัดสินใจโยกเงินไปลงทุนในหุ้นต่างประเทศที่มองว่ามีโอกาสมากกว่า เนื่องจากตลาดอเมริกาเป็นตลาดที่ใหญ่ และมีความเป็นเทรนด์ขาขึ้นมากกว่า และในช่วงปลายปีนี้เริ่มมีการจับหุ้นพื้นฐานที่ดีเข้ามาช่วยและใช้ระยะเวลาในการถือหุ้นที่ยาวขึ้น สำหรับตลาดไทยอยู่ในโซนเงียบ วอลุ่มน้อย ส่วนตัวมองเป็นจุดต่ำสุดที่มีโอกาสกลับตัวในปีหน้าเช่นกัน ขึ้นอยู่กับกลยุทธ์ของรัฐบาล นโยบายส่งเสริมต่างๆ ที่จะช่วยผลักดันให้เม็ดเงินกลับมาซื้อหุ้นไทย แนะนำให้เน้นการซื้อแบบ Selective Buy และถือยาวขึ้นโดยใช้พื้นฐานมาช่วยคัดเลือกหุ้น” 

 

 

2. มุมมองและแนวคิดการลงทุนแบบพื้นฐานทั้งหุ้นไทยและหุ้นอเมริกา

 

ชวิศ​ ธรรมชนะเลิศ เจ้าของเพจหุ้นไรไม่บอก แชร์กลยุทธ์การลงทุนหุ้นที่ทำให้เขามีผลประกอบการในปีนี้เป็นบวก 30-50% ด้วยการใช้กลยุทธ์แบบ Bottom Up และ Top Down ลงมา โดยมีเกณฑ์การคัดหุ้นคือ เลือกธุรกิจที่ความเป็นเลิศบางอย่าง ถึงแม้ตลาดไม่ดี 

 

“ส่วนตัวผมสนใจธุรกิจที่มองเห็นภาพกว้างของธุรกิจชัดเจนว่าในอนาคตอีก 2-3 ไตรมาส แนวโน้มกำไร แนวโน้มมาร์จิ้น และภาพรวมธุรกิจจะเป็นขาขึ้น สิ่งต่อมาคือ ผู้บริหารต้องเก่ง ต้องเข้าใจในธุรกิจของตัวเอง มีความสามารถในการบริหารจัดการที่ดี และสร้างอำนาจต่อรองให้ธุรกิจของตัวเองได้ สุดท้ายคือสตอรีของหุ้นจะต้องมีความยูนีค เข้าใจหรือทำให้คนทั่วไปตื่นเต้นได้ง่าย โดยที่ยังไม่ได้รับรู้ในวงกว้าง และจะต้องเป็นสตอรีที่ช่วยทำให้กำไรกำลังจะเติบโตอย่างมาก ที่เหลือจะดูลักษณะกราฟประกอบเพื่อใช้คอนเฟิร์ม ถ้ามีการเทลงแบบไม่มีสาเหตุอาจต้องกลับมาพิจารณาอีกที” 

 

ชวิศบอกว่าวิธีการนี้สามารถใช้ได้ทุกปี แต่ควรปรับใช้ตามภาพใหญ่ (Macro) เช่น หากปีหน้ามีการคาดการณ์ว่า GDP จะโตประมาณ 3-4% อาจหาหุ้นที่เกี่ยวกับ GDP เช่น กลุ่มสื่อสาร Media, กลุ่มการบริโภคภายในประเทศ Domestic Consumption, ท่องเที่ยว Tourism หรือหากดอกเบี้ยลด หุ้นลีสซิ่งก็มีโอกาสจะกลับมา

  

ธนทัต วัฒนานุกร เจ้าของเพจ VI เพื่อชีวิต มีกลยุทธ์ในการลงทุนและเลือกหุ้นโดยลงทุนในกลุ่มที่ Laggard ไม่มีคนสนใจและกำลัง Turn Around โดยหาจาก Bottom Up จากอุตสาหกรรมที่กลุ่มคนไม่สนใจ หาหุ้นที่กองล่าง มี Downside Risk ต่ำ 

 

“วิธีของผมคือเปิดดูรายชื่ออุตสาหกรรมจากเว็บ SET ไล่ดูทีละตัว พิจารณาจากงบการเงิน หาหุ้นที่มีสตอรีและมี Catalyst ในการหา Upside Gain จุดที่จะทำให้คุณแตกต่างคือ ต้องมี ‘Investment Horizon’ หรือระยะยาวกว่า ต่อให้มองข้อมูลชุดเดียวกัน อาจแปลผลไม่เหมือนกันก็ได้ เช่น บางคนชอบหุ้นที่งบโต แต่คนที่มี Investment Horizon มากกว่าอาจดูลึกกว่านั้น ว่างบที่โตมันโตแบบชั่วคราวหรือไม่ สิ่งเหล่านี้มันมาพร้อมโอกาสในการลงทุน” 

 

สำหรับแผนในปีหน้า ธนทัตบอกว่ายังคงเน้นลงทุนแบบเดิม หาจังหวะในการทำการบ้านในหุ้นแต่ละอุตสาหกรรมที่คนเริ่มไม่เชื่อว่าปีหน้าจะสามารถเติบโตได้อีก คงจะลงไปดูว่าพื้นฐานได้เปลี่ยนไปหรือยัง หากกระทบแค่ราคาหุ้นก็เป็นโอกาสในการลงทุน”  

 

เมธพนธ์ อมรธีรสรรค์ เจ้าของเพจหุ้นเปลี่ยนโลก แชร์มุมมองการลงทุนในหุ้นต่างประเทศจากประสบการณ์การลงทุนหุ้นต่างประเทศมากว่า 5 ปี โดยเฉพาะในตลาดหุ้นอเมริกา ซึ่งเป็นตลาดที่มีนักวิเคราะห์ บทวิเคราะห์ และข้อมูลมากกว่าและไวกว่าเมืองไทย 

 

“จะลงทุนหุ้นต่างประเทศให้รอดต้องมองให้ไกลกว่านักวิเคราะห์มอง อย่าดูแต่ 1-2 ไตรมาส แต่ต้องดูไปถึงปีหน้าว่ามีแนวโน้มเติบโตหรือไม่ หรือมองในระดับ 3-5 ปี และต้องทนได้กับความผันผวน หลักการที่ผมใช้ก็คือ ศึกษาในอุตสาหกรรมให้ดี อย่าซื้ออะไรที่ตลาดให้ราคาแพงอยู่แล้ว เน้นกระจายและคอยติดตาม การเล่นรายไตรมาสของนักลงทุนระยะยาวสู้ยาก เนื่องจากตลาดอเมริกามีประสิทธิภาพมาก การลงทุนสายพื้นฐานแบบสั้นจะมีโอกาสชนะน้อยกว่า” 

 

ส่วนปีหน้า เมธพนธ์บอกว่าจะหาหุ้นภาพระยะยาวที่ดี แต่ราคาลงมาในจุดที่สมเหตุสมผล ปัจจุบันการถือหุ้นในพอร์ตของเขาจะมีการกระจายหุ้นประมาณ 10 ตัว มากกว่าเน้นลงทุนตัวในตัวหนึ่ง เนื่องจากยิ่งเป็นการคาดการณ์ภาพระยะยาวมาก โอกาสผิดเยอะกว่าการคาดการณ์ระยะสั้น  

 

 

3. ตลาดหุ้นไทยปีหน้า ลุ้นฟื้นรับปีมังกรทอง

 

โค้ชเพชร-วิจิตร อารยะพิศิษฐ นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ ลิเบอเรเตอร์ จำกัด กล่าวว่า ปีที่ผ่านมาดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวลงต่อเนื่อง แต่ก็มีลุ้นฟื้นตัวรับปีมังกรทองจากปัจจัยในประเทศเริ่มดีขึ้น 

 

“ปี 2023 SET Index ปรับตัวลดลง 17% โดยมีปัจจัยด้านการเมือง ทั้งการเลือกตั้งใหญ่ และการจัดตั้งรัฐบาลที่ล่าช้า หากย้อนดูภาพใหญ่ช่วง 20 ปีที่ผ่านมา จะเห็นความน่าสนใจบางอย่างจากผลตอบแทนของการลงทุนในตลาดหุ้นไทย ปีไหนที่ตลาดหุ้นเจอผลกระทบ ดัชนีผลตอบแทนรวมแตะเส้นสีแดง ปีถัดไปจะปรับตัวขึ้นเป็นสีเขียว ตอนนี้ดัชนีปรับตัวลง 17% แนวโน้มปีหน้าตลาดน่าจะปรับขึ้นมาได้

 

“ปัจจัยที่อาจส่งผลให้ตลาดหุ้นไทยปีหน้าเป็นปีมังกรทอง คือการขยายตัวของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ GDP ของไทยมีแนวโน้มสดใสขึ้น ข้อมูลของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) พบว่า สัญญาณของการบริโภคเริ่มดีขึ้น เช่นเดียวกับการลงทุนก็ปรับตัวดีขึ้น จากการย้ายฐานการลงทุนจากต่างประเทศ ขณะที่การส่งออกแม้จะแย่มาตลอดทั้งปี แต่ช่วงท้ายปีเริ่มปรับตัวดีขึ้น และทั้งปีคาดว่าน่าจะติดลบ 1% ส่วนปีหน้ามีโอกาสที่จะกลับมาเป็นบวก ขณะที่ภาคการท่องเที่ยวปีหน้าน่าจะเพิ่มขึ้นมาเป็น 30 ล้านคน จากนั้นในปี 2025 จะเร่งตัวเข้าสู่ภาวะปกติ คือมีนักท่องเที่ยวต่างชาติมาไทย 40 ล้านคน ซึ่งฟันเฟืองของการท่องเที่ยวน่าจะเป็นเครื่องยนต์สำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจต่อไปได้” 

 

อีกประเด็นที่วิจิตรชวนให้จับตามองคือ อัตราเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ย เนื่องจากการเร่งตัวของดอกเบี้ยอยู่จุดสูงสุดแล้วส่งผลให้อัตราผลตอบแทนของ Bond Yield ลดลง 

 

“เป็นหน้าที่ของนักลงทุนที่จะต้องตามติดการขึ้นดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่อง ปี 2024 ต้องติดตามสถานการณ์ต่อไปในช่วงแรก ส่วนระยะต่อมาต้องดูว่าเมื่ออัตราดอกเบี้ยลงแล้วจะลดลงในอัตราเร่งหรือไม่ในช่วงไตรมาสที่ 2 ปลายๆ ซึ่งในช่วงนี้หลายคนกังวลว่าจะเกิดเศรษฐกิจถดถอย”

 

 

4. ขุดหุ้นแต่หัววัน สไตล์​ LIB และ Excel อาวุธคู่กายนักลงทุน สำหรับผจญภัยกับตลาดในปี 2024

 

น้าแดง-จรูญพันธ์ วัฒนวงศ์ นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ ลิเบอเรเตอร์ จำกัด แชร์วิธีการทำการบ้านเพื่อหาหุ้นในช่วงเวลาต่างๆ 

 

  1. Top-Down Analysis หาหุ้นจากบนลงล่าง ไล่จากการวิเคราะห์ภาพเศรษฐกิจมหภาคของต่างประเทศรวมถึงไทย แล้วตีกรอบไปเลือกกลุ่มอุตสาหกรรมที่โดดเด่น และหาหุ้นที่มีความแข็งแกร่งในอุตสาหกรรมนั้นๆ ใช้หลักการพิจารณาพื้นฐานหุ้นรายตัว และการอ่านงบการเงินเพื่อหา Valuation

 

  1. Bottom-Up Analysis หาหุ้นจากล่างขึ้นบน วิธีนี้ใช้เวลาไม่มาก กรองหุ้นได้เร็ว ง่ายสุดคือการดูรูปแบบของกำไรที่เปลี่ยนไปในเชิงบวก เช่น กำไรขยายตัวติดต่อกัน 4 ไตรมาส ซึ่งอาจสะท้อนถึงพัฒนาการในเชิงบวก บ่งบอกถึงพัฒนาการพิเศษ เช่น มีสินค้าใหม่ มีกำลังการผลิตใหม่ มีการขึ้นราคาสินค้า ได้ลูกค้าใหม่ หรือคำสั่งการผลิตใหม่

 

“เมื่อได้รายชื่อหุ้นมาแล้ว ขั้นต่อมาก็นำเทคนิคเข้ามาช่วยพิจารณาว่าหุ้นอยู่ในโซนได้เปรียบหรือไม่ พิจารณารายอุตสาหกรรมของหุ้นตัวนั้นว่ามีอุปสรรคหรือมีประเด็นหนุนต่อหรือไม่ แล้วจึงนำหุ้นที่เลือกไปวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานและการประเมินมูลค่าหุ้นควบคู่ไปกับการฟัง Opportunity Day (Opp Day) ว่าผู้บริหารเหล่านั้นเขาให้ข้อมูลอะไรบ้าง หรือจะไป Company Visit เพื่อเช็กโมเมนตัมของแพตเทิร์นนี้ว่ายังมีอยู่ต่อหรือไม่” 

 

อย่างไรก็ตามทั้งหมดนี้เป็นเพียงมุมมองและข้อเสนอแนะจากประสบการณ์ของนักลงทุนเท่านั้น สำหรับผู้ที่สนใจลงทุนควรศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมก่อนตัดสินใจ และสำหรับผู้ที่สนใจโมเดล ‘LIBFAM Model’ เพิ่มเติม สามารถดูข้อมูลได้ทาง Facebook Page: Liberator Securities, เว็บไซต์ www.liberator.co.th และ LINE Official Account: @Liberator

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising