ในช่วงที่ผ่านมา ธุรกิจร้านสะดวกซักของไทยถือว่าคึกคักไม่น้อย เพราะมีผู้เล่นตบเท้าเข้าสู่ตลาดอย่างต่อเนื่องไม่ว่าจะเป็นเชนขนาดใหญ่หรือผู้ที่มีทำเลทองอยู่แล้วก็ซื้อเครื่องซักและเครื่องอบมาลง จนทำให้ในปีที่ผ่านมา (2566) มีร้านเปิดใหม่มากถึง 1,300 ร้าน และยอดขายโดยรวมเติบโต 7% หรือประมาณ 3,900 ล้านบาท
มีการประเมินว่า ภาพรวมของธุรกิจร้านสะดวกซักของไทยในปี 2567 คาดว่าจะเติบโตประมาณ 10% และจะมีร้านสะดวกซักในไทยทั้งหมดประมาณ 5,500 ร้าน ซึ่งคาดว่าร้านที่เปิดใหม่จะเป็นร้านที่มีขนาดใหญ่มากขึ้น โดยเฉลี่ยจะใช้เครื่องซักและเครื่องอบในร้านทั้งหมดประมาณ 15-20 เครื่องต่อร้าน และขนาดของร้านจะอยู่ที่ 80 ตารางเมตรขึ้นไป
แม้จะเปิดมากถึงขนาดนั้น “แต่เราเชื่อว่าตลาดยังไม่เต็มและมีช่องว่างให้กับผู้เล่นหน้าใหม่ เพราะยังเหลือทำเลดีๆ อีกจำนวนมากในกรุงเทพฯ” อำนาจ สิงหจันทร์ หัวหน้าฝ่ายการตลาด บริษัท แอลจี อีเลคทรอนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวกับ THE STANDARD WEALTH
เหตุผลดังกล่าวกลายเป็นจุดตั้งต้นที่ทำให้ LG กระโดดจากการเป็นผู้ที่ขายเครื่องซักผ้าอย่างเดียว ซึ่งกินส่วนแบ่งตลาด 34.3% จากมูลค่า 14,300 ล้านบาท โดยเป็นผู้นำตลาดมาเป็นผู้ปั้นแฟรนไชส์ร้านสะดวกซัก LG Laundry Crew “ซึ่งไทยถือเป็นแห่งแรกในโลกที่มีโมเดลธุรกิจนี้ โดยหากประสบความสำเร็จ นี่จะกลายเป็นต้นแบบให้กับประเทศอื่นๆ ต่อไป”
LG ไม่ใช่ผู้เล่นหน้าใหม่สำหรับธุรกิจร้านสะดวกซัก เพราะที่ผ่านมาได้ขายเครื่องให้กับเชนร้านสะดวกซักอื่นๆ อยู่ 7-8 ราย ทำให้ปีที่ผ่านมาเครื่องซักผ้าพาณิชย์สร้างยอดขาย 3,600 เครื่อง และคิดเป็นมูลค่าราว 330 ล้านบาทด้วยกัน
จุดเริ่มต้นของ LG Laundry Crew นั้นอำนาจเล่าว่า ไม่ได้วางแผนนานเลย แต่เกิดขึ้นราว 6-7 เดือนที่แล้ว มีลูกค้ารายหนึ่งซึ่งตอนนี้เป็นเจ้าของแฟรนไชส์ร้านสะดวกซัก LG Laundry Crew แห่งแรกที่รามคำแหง ซอย 8 ทาง LG รู้สึกสนใจเหมือนกัน จึงได้พัฒนาจนออกมาเป็นโมเดลธุรกิจดังกล่าว
“LG ถือเป็นรายแรกในไทยที่แบรนด์ออกมาทำแฟรนไชส์ร้านสะดวกซักเอง ไม่เหมือนแบรนด์อื่นๆ ที่ขายเครื่องอย่างเดียว โดยเราเชื่อว่า แบรนด์ที่แข็งแกร่งจะทำให้ลูกค้าไว้ใจเรา ขณะเดียวกันนี่ก็จะเป็นการสร้างการรับรู้ของแบรนด์ไปในตัว” อำนาจกล่าวพร้อมกับเสริมว่า “อีกอย่างคือ เราจะไม่เข้าไปเล่นเกมราคาหรือตั้งใกล้กับเชนที่เราขายเครื่องให้อยู่แล้ว”
โมเดลของ LG Laundry Crew ประกอบไปด้วย 4 รูปแบบ S-XL เริ่มต้น 1.5-3 ล้านบาท ส่วนค่าซักและค่าอบเริ่มต้นที่ 40 บาทด้วยกัน
“เราคาดว่าจะสามารถคืนทุนได้ใน 2 ปี คำนวณจากรูปแบบ L ที่มีลูกค้าประจำ 400 คนต่อเดือน ใช้บริการ 2-4 ครั้ง และใช้จ่ายเฉลี่ย 100 บาทต่อครั้ง”
การเปิดตัว LG Laundry Crew ทำให้ LG มองว่า ปีนี้จะสามารถขายเครื่องซักผ้าเชิงพาณิชย์ได้ 6,000 เครื่อง มูลค่า 550 ล้านบาท ส่วน LG Laundry Crew ภายใน 3 ปีจะยังไม่เปิดเอง โดยภายในปีที่ 2 ตั้งเป้ามีร้าน 100 แห่ง ก่อนขยับเป็น 300 แห่งในปีต่อไป
