ซีอีโอของบริษัทยีนส์เดนิมที่โด่งดังที่สุดในโลกกล่าวว่า เขารู้ตั้งแต่วันแรกที่ทำงานว่าวิธีที่ดีที่สุดในการพลิกสถานการณ์ของบริษัท คือการไล่ผู้บริหารมากกว่าครึ่งหนึ่งออก
“วิธีที่ง่ายที่สุดในการเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมคือการเปลี่ยนแปลงผู้คน ผมมีผู้ใต้บังคับบัญชาโดยตรง 11 ราย และในช่วง 18 เดือนแรก มี 9 รายหายไป” Charles Bergh ซีอีโอของ Levi Strauss กล่าว
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
- กล้าๆ กลัวๆ เป็น ‘ผู้นำ’ ตำแหน่งโต แต่ใจไม่พร้อม เปิดวิธีหลุดพ้นกับดัก ‘Self-Doubt’ เมื่อคนรับช่วงต่อ หวั่นดีไม่พอจะแทนที่คนเก่า
- เคารพกันบ้าง จ้างก็ได้! เมื่อพนักงานไม่ได้รับความเคารพจากนายจ้าง อาจสร้างแผลใหญ่ให้กับองค์กรได้
- ยุคที่ความเก่งไม่ใช่ตัวชี้วัด! เปิด 3 นิสัย ‘ผู้นำ’ ที่ต้องไม่ติดกับดักความสำเร็จ-ไม่เลือกอยู่กับคนตรงใจ-ลดความเห็นแก่ตัว
อย่างไรก็ตาม Bergh บอกกับ Christine Tan จาก CNBC ว่า ความเสียใจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเขาคือการไม่ได้ไล่คนผิดออกเร็วพอ เพราะเขายึดมั่นกับใครบางคนนานกว่าที่ควรจะเป็น
Bergh เข้ามาทำหน้าที่ตำแหน่งแม่ทัพในช่วงปี 2011 อันเป็นช่วงเวลาที่เลวร้ายที่สุด เมื่อผู้บริโภคเลิกซื้อกางเกงยีนส์ Levi’s อีกต่อไป
“แบรนด์นี้กำลังจะหายไปจริงๆ เรามีผู้บริโภคที่ไม่ได้โตมากับเสื้อผ้า Levi’s เหมือนตอนเด็กๆ” Bergh กล่าว “ผลการดำเนินงานของบริษัทไม่แน่นอนมาเป็นเวลากว่า 10 ปีแล้ว ปีหนึ่งรายได้จะเพิ่มขึ้น แต่กำไรจะลดลง ปีหน้าจะกำหนดกำไร แต่รายได้กลับลดลง”
6 ปีต่อมา Bergh ได้นำสิ่งที่เขาเรียกว่าแบรนด์ที่เคย ‘พัง’ กลับมาอีกครั้ง ในปี 2017 Levi’s มีการเติบโตของรายได้ต่อปี 8% ซึ่งสูงที่สุดในรอบทศวรรษ และสูงกว่าการเติบโต 3.1% ในปีก่อนหน้า ขณะที่ปี 2018 ก็สามารถเติบโตได้กว่า 4%
แม้ปีหน้า Bergh จะลาออกจากตำแหน่งซีอีโอ และเชื่อว่ารากฐานที่วางไว้จะทำให้บริษัทเติบโตต่อไปได้ แต่กระนั้นก็ไม่ได้ราบรื่นทั้งหมด เพราะ Levi’s ได้ปรับลดแนวโน้มกำไรในปี 2023 ลงอย่างรุนแรง หลังจากรายงานว่ารายได้จากการขายส่งและยอดขายที่ลดลงอย่างมากในสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดของบริษัท ตอนนี้คาดว่ายอดขายจะเติบโตระหว่าง 1.5-2.5% ในปีนี้ เทียบกับช่วงก่อนหน้าที่ 1.5-3%
กระนั้นแม่ทัพของ Levi’s ก็มองว่าพื้นที่ที่มีศักยภาพแห่งหนึ่งสำหรับการเติบโตของ Levi’s คือการขยายธุรกิจในเอเชีย โดยเฉพาะจีนที่การ ‘ซื้อแบบแก้แค้น’ (Revenge Spending) ถือเป็นโอกาสอันยิ่งใหญ่ของแบรนด์ โดยในไตรมาสที่ 2 รายรับจากเอเชียเพิ่มขึ้น 18% เป็น 262 ล้านดอลลาร์
อย่างไรก็ตาม เอเชียมีสัดส่วนน้อยกว่า 20% ของยอดขายรวมของบริษัท และจีนมีสัดส่วนน้อยกว่า 3% ของธุรกิจทั้งหมด
“คู่แข่งของเราหลายรายคิดเป็น 10% หรือมากกว่านั้น ดู Nike สิ 40% ของมูลค่าตลาดของ Nike น่าจะเป็นจีน ดังนั้นเราจึงรู้ว่าเรามีโอกาสที่นี่” เขากล่าว “เรากำลังจะเปิดร้านค้าปีละ 100 แห่งทั่วโลก และ 1 ใน 3 ของร้านค้าเหล่านั้นจะอยู่ในจีน”
อ้างอิง: