โอปอล์-ปาณิสรา (พิมพ์ปรุ) อารยะสกุล เริ่มงานในวงการบันเทิงทันทีที่เรียนจบจากรั้วมหาวิทยาลัย ตัวตนที่ดูสนุกสนาน เข้าถึงง่าย ในขณะเดียวกันก็แฝงความลุ่มลึกในความคิด กลายเป็นเสน่ห์ที่ทำให้กราฟชีวิตในวงการบันเทิงของเธอพุ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ
ตลอดสิบปีแรกของอาชีพ เธอไม่เคยตกเป็นข่าวด้านความรักกับใคร ทั้งที่ชีวิตรักตีคู่กับงานมาโดยตลอด ความรักทำให้เธอเป็นข่าวครั้งแรก เมื่อคบหากับ หมอโอ๊ค-สมิทธิ์ อารยะสกุล สังคมยุ่มย่ามกับความรักของทั้งคู่แทบจะทุกแง่มุม อย่างไรก็ตาม ทั้งสองฝ่าฟันมาจนถึงวันวิวาห์ และเดินทางเรื่อยมาถึงวันที่เขาและเธอกลายเป็นพ่อแม่ของลูกแฝดชายหญิงที่น่าเอ็นดูอย่างยิ่ง
THE STANDARD ชวนโอปอล์มาสนทนา ว่าด้วยเรื่อง ‘ความรัก’ ที่ดำเนินอยู่ในแต่ละบทบาท และแต่ละช่วงวัย เธอจับมือกับความรักเพื่อเดินบนถนนชีวิตอย่างไร และใช่ความรักหรือไม่ที่ขับเคลื่อนให้เธอเดินอย่างมั่นคงมาจนถึงวันนี้
“ก่อนที่เราจะรักใคร เราต้องรักตัวเองให้มาก เราไม่ชอบการทำตัวเป็นวงกลมที่ขาดหาย ใช้ชีวิตไปวันๆ รอคนมาเติมเต็ม แล้ววันหนึ่งวงกลมก็จะเต็มวง ไม่มีทาง ถ้าเราเติมตัวเองไม่เต็มนะ เราจะลอยอยู่อย่างนั้น”
ความรักสำคัญต่อคุณอย่างไร
คนมักคิดว่าปอล์เป็นคนมองโลกในแง่ดี แต่ข้อเท็จจริงคือปอล์เป็นคนมองโลกตามความจริงมาก ปอล์ไม่ได้เกิดในครอบครัวร่ำรวย เติบโตในทุ่งหญ้า เห็นยูนิคอร์นและดอกแดฟโฟดิล ปอล์เกิดในครอบครัวชนชั้นกลาง ที่พ่อแม่ลำบากมากในการเลี้ยงลูก 3 คน ให้พอมีพอกิน
ต้องดิ้นรน
ใช้คำว่าดิ้นรนไม่ผิดเลย สิ่งที่ปอล์เห็นมาตั้งแต่เด็ก จนโตคือ พ่อแม่ทำงานหนัก กลับมาบ้านด้วยความเหน็ดเหนื่อย การจะหาข้าวให้ลูกกินครบทั้ง 3 มื้อสำหรับบ้านเราเป็นเรื่องใหญ่ การโดนตัดน้ำตัดไฟ เป็นเรื่องปกติทุกเดือน ในฐานะเด็ก สิ่งที่ทำได้คือ เวลาเรากลับบ้านมาบอกพ่อแม่ว่า ปอล์ได้เกรด 4 ได้เป็นหัวหน้าห้อง เขาจะยิ้ม เหมือนเขามีแรงไปต่อ
พอจบ ม.3 บ้านเราก็ยังไม่สบาย ตอนนั้นคิด แค่ว่าพ่อกับแม่ทนแป๊บหนึ่ง เดี๋ยวเรียนจบพ่อกับแม่จะสบาย ตอนนั้นยังไม่เห็นทาง รู้แต่ว่าต้องตั้งใจเรียน ต้องเอ็นท์ฯ ให้ติด ชีวิตเรายากนิดหนึ่งตรงที่เราไม่รวยแต่อยู่ในสังคมคนรวย โรงเรียนที่เราอยู่ทุกแห่งเป็นโรงเรียนลูกคนรวย ระหว่างทางเราโดนล้อเลียนทุก รูปแบบ จน ไม่สวย อ้วน ดำ แต่เราไม่แคร์เลย เรายิ้ม เพราะเรารู้ว่าทำอะไรอยู่ และทำเพื่อใคร
เมื่อเราโตขึ้นแล้วคิดกลับไป มันเป็นการโตมา ในสิ่งแวดล้อมที่ไม่ได้สบาย แต่โตมาในพลังแห่งรักจริงๆ รักในที่นี้ไม่ได้รักแบบปกป้อง แต่รักแบบที่ บ้านเรามีปัญหาอย่างนี้ เกิดเรื่องอย่างนี้ แชร์กัน ทุกเรื่อง ซึ่งสำคัญมาก เราไม่ได้อยู่ในโลกแห่งความสวยงาม เรารู้ทุกเรื่อง เพียงแต่เราใช้แรงผลักไป ในทางที่ดี เพราะเรารู้ว่าเราทำให้พ่อแม่ผิดหวังไม่ได้
ถ้าถามว่าความรักสำคัญกับชีวิตเราอย่างไร แรงผลักในชีวิตปอล์มาจากความรักทั้งสิ้น ความรักเป็นพลังหรือแรงผลักที่ถ้าใช้ก็ดีไปเลย ถ้าใช้ร้ายก็ร้าย ไปเลย อย่างเรามีเพื่อนที่รักมากแต่แปลงมันออกมาเป็นความเกลียด กลายเป็นปมมาจนโต เช่น พ่อแม่ หย่ากัน เกลียดพ่อแม่ เราก็จะคิดว่า เกลียดทำไมวะ (หัวเราะ) หรือบางทีปอล์ฟัง คลับฟรายเดย์ แล้วโมโห “จริงๆ ฉันรักเขา แต่เขามีเมียอยู่แล้ว แต่ความรัก มันไม่ผิด” มันผิดเว้ย (หัวเราะ) มันผิดศีลธรรมไง คือการอ้างว่าความรักทำอะไรก็ได้ มันไม่ใช่
มีคนที่เจอปัญหาตั้งแต่เด็กแบบคุณแต่ไม่ได้มีวิธีรับมือแบบคุณ คุณคิดว่ามันเกี่ยวกับวิธีที่พ่อแม่หล่อหลอมเลี้ยงคุณมาหรือไม่
เราว่ามันสำคัญมาก ตอนเด็กๆ ที่มีปัญหา เบ้าหลอมเบื้องต้นสำคัญ ถ้าเบ้าหลอมเราบิดเบี้ยว ชีวิตที่เหลือมันก็เบี้ยว เราจำได้ว่าตอนเด็กๆ ทุกวันอาทิตย์พ่อแม่พาไปวัดหลักสี่ ที่ไปวัด ไม่ใช่ว่าเป็นคนดีอะไร คือมันใกล้บ้าน ไปนั่งจุดธูปในโบสถ์ พ่อก็เล่าเรื่องโน้นนี้ มันก็โน้มเราเข้าหาสิ่งที่ดี
ตอนเด็กๆ อยู่ประถมที่โรงเรียนราชินีบน เราบอกพ่อว่า เพื่อนด่าเราว่าดำ พ่อก็บอกว่า “เราก็ดำนะลูก” พ่อจะไม่บอกว่าเราไม่ดำ บางทีคีย์เวิร์ดแค่นี้ การพูดคุย การสอน “พ่อ เราไม่มีเงิน” “ใช่ลูก แต่เดี๋ยวเราจะมี” “พ่อ เขาจะยึดทรัพย์บ้านเรา” “ก็ให้เขายึดไปลูก” เราเจอปัญหาตั้งแต่เล็กจนโต แต่ทุกคำตอบที่ได้จากพ่อกับแม่คือ ทุกอย่างมีทางแก้ และเขายิ้มรับทุกอย่าง ทำให้เมื่อโตขึ้นมาแล้วเราอยู่ในภาวะจะเป็นจะตาย เรายิ้มรับได้จริงๆ เพราะชีวิตมันก็เท่านี้
“จนถึงตอนนี้ เราเป็นเจ้าของกิจการ ชีวิตเรามีความมั่นคง ชีวิตเราดีมาก ก็ยังมีคนล้ออีอ้วน อีดำ ซึ่งนั่นอาจเป็นสิ่งเดียวก็ได้ที่ทำให้ชีวิตเขามีความสุข แต่เราจะไม่มีทางให้ลูกเราล้อใคร อันนี้อยากให้พ่อแม่ช่วยกันสอนลูก ในรุ่นลูกเรา เรื่องแบบนี้ต้องไม่มีแล้ว”
มุมมองที่ได้จากพ่อแม่และอยากถ่ายทอดต่อให้ลูก
เราจะให้ลูกมองทุกอย่างจากความเป็นจริง ตอนที่ เราเข้าวงการใหม่ๆ เราขึ้นเวทีใหญ่ครั้งแรกที่ลานฮาร์ดร็อก สยาม พอเราขึ้นเวที คนกรี๊ดดังมาก เราตกใจ ในฐานะมนุษย์กะโหลกกะลาคนหนึ่ง เรากลับไปเล่าให้พ่อฟังว่า “คนกรี๊ดปอล์ทั้งลานเลย” พ่อพูดว่า “เขาชอบเราวันนี้ พรุ่งนี้ก็ไม่ชอบ” ถ้าเป็นพ่อแม่คนอื่น ก็คงชมลูกหรือไม่ก็ด่าไปเลย แต่พ่อเราจะพูดให้คิด และเรารู้สึกว่าจริง หลังจากนั้นสิ่งที่เราได้ติดตัวมาคือ คำชม คำด่า เราเฉยมาก เวลาเขาชมแล้วเรารู้สึกว่าเกิดประโยชน์ เช่น ชอบโอปอล์เพราะเขาพูดจาชัด เราจะเอามาพัฒนาต่อ แต่ถ้าใครด่าเราล้อเราด้วยความสนุกปากและเป็นคำด่าที่ไม่เป็นประโยชน์ เราไม่สนใจ
คนชอบทำแคมเปญเรื่องการโดนบูลลีกับเรา ซึ่งเราบอกว่าเราไม่รู้สึก เราโดนล้อมาตั้งแต่เด็กใน ทุกรูปแบบ ไม่ใช่แค่ไซเบอร์ บูลลี สิ่งที่ทำให้เราไม่ล้อใครเลย ไม่ใช่เพราะโดนล้อมาก่อน แต่เพราะพ่อแม่สอนว่า การเรียกใครว่าอ้วน เตี้ย มันไม่ใช่เรื่องสนุก แล้วพอเราโดน เออ มันไม่ใช่เรื่องสนุก เราจึงไม่ล้อใคร แต่เวลาใครล้อเรา เราก็คิดว่านั่นอาจจะเป็นความบันเทิงเดียวของเขาก็ได้
จนถึงตอนนี้เราเป็นเจ้าของกิจการ ชีวิตเรามีความมั่นคง ชีวิตเราดีมาก ก็ยังมีคนล้ออีอ้วน อีดำ ซึ่งนั่นอาจเป็นสิ่งเดียวก็ได้ที่ทำให้ชีวิตเขามีความสุข แต่เราจะไม่มีทางให้ลูกเราล้อใคร อันนี้อยากให้พ่อแม่ช่วยกันสอนลูก ในรุ่นลูกเรา เรื่องแบบนี้ต้องไม่มีแล้ว
ความรักที่เป็นเบ้าหลอมสำคัญคือช่วงวัยเด็ก
ที่สำคัญอีกช่วงคือ ช่วงวัยรุ่น เราจำได้ว่าสังคมตอนที่เราเป็นวัยรุ่นมันมีสิ่งเร้ารอบด้าน ถ้าเราไม่แกร่งจริงมันไปทางไหนก็ได้เลย เราอยู่ในยุคที่ผับเปิด 24 ชั่วโมง และยาบ้าหาง่ายมาก เราจำได้เลยตอนที่เราเอ็นท์ฯ มีเพื่อนมาบอกว่า มียาที่ทำให้อ่านหนังสือได้ 24 ชั่วโมง เราก็เลยไปเล่าให้พ่อฟัง พ่อถามว่า “เพื่อนคนไหนลูก” (หัวเราะ) คือเราไม่รู้เรื่องจริงๆ ถ้าเราไม่ใช่เด็กที่ใกล้ชิดพ่อแม่ มันจะเป็นอีกเรื่องเลย ตอนนั้น พ่อแม่เราทำงาน เราดูแลน้องชายอีก 2 คน หน้าที่ เราคือ ตื่นมา ซักผ้า ถูบ้าน ล้างจาน ทำกับข้าว รีดผ้า พ่อแม่สอนให้เรามีความรับผิดชอบ รอพ่อแม่กลับ พาน้องอ่านหนังสือตั้งแต่เด็ก เรารู้ว่าพ่อแม่เราลำบาก ดังนั้นเราต้องใฝ่ดี ทำอย่างไรก็ได้ให้พ่อแม่มีความสุข
ถัดจากความรักในครอบครัวแล้วประสบการณ์ความรักในช่วงวัยถัดมาเป็นอย่างไร
พูดได้อย่างเต็มปากเลยค่ะว่า ตั้งแต่ม.ปลายจนจบมหาวิทยาลัย ไม่มีเลยจ้า (หัวเราะ) ในมหาวิทยาลัยไม่มีใครจีบเราทั้งสิ้น เราว่ามันก็ดีมาก เพราะเราใช้ชีวิตเต็มที่ ช่วงพีกความรักของเราคือ ตอนอายุ 25-26 อยู่ดีๆ ก็เกิดยุคเก็บเกี่ยวของเรา คนเข้ามาเยอะมาก จากเด็กหัวเข่าดำคนหนึ่งที่เดินไปมาอยู่ดีๆ คนมาจีบ
ตั้งแต่อยู่ในวงการบันเทิงมา เรามีข่าวแค่กับพี่โอ๊คแล้วแต่งงานเลย ก่อนหน้านั้นเราไม่มีข่าวความรักกับ ใครเลย ทั้งๆ ที่ใน 10 ปีที่ผ่านมา เรามีแฟนมาตลอด และเป็นคนในวงการทั้งสิ้น ที่เราตัดสินใจว่าไม่ให้ มันเป็นข่าวขึ้นมา เพราะเราอยากเป็นโอปอล์ที่ไม่ต้องมีคำขยายมาต่อท้ายแบบที่เคยได้ยิน เราพิสูจน์ตัวเองหนักมาก เราชอบงานพิธีกร อยากเป็นพิธีกรที่เก่ง ลองงานประกาศรางวัล ลองงานอีเวนต์ทุกอย่าง แล้วเราก็ดีใจที่ในที่สุดคนเรียกเราว่า โอปอล์ ไม่มี ใครเรียกเราว่า โอปอล์…บวกคำขยาย
ช่วงที่เราเต็มที่กับงานมากๆ เราจะเก็บความรักโลว์โปรไฟล์มาก แต่ไปไหนมาไหนด้วยกัน เพื่อนรับรู้ แต่ว่าจะไม่ตอบสื่อ ซึ่งแฮปปี้มาก เพราะล้วนแล้วแต่เป็นคนที่เราชอบตอนเด็กๆ เหมือนเราเป็นติ่งเขา แล้ววันหนึ่งเขาก็จีบ (หัวเราะ) ความสัมพันธ์ตอนนั้นเราคบทีละคน คนละหลายปี ทุกอย่างที่เกิดขึ้นแล้วจบลงไปมันมีเหตุผลของมัน อาจทะเลาะกัน หรืออาจเลิกกันด้วยอะไรสักอย่าง แต่ปัจจุบันเราเป็นเพื่อน กับทุกคนเลย เราเชิญทุกคนมางานแต่งงานเรา
แล้วเขามา
มาบ้าง (หัวเราะแรงมาก) มาช่วยงานก็มี สิ่งที่เรา ได้จากเรื่องนี้คือ ในโมเมนต์หนึ่งเรารักกัน เมื่อเรา เลิกกันด้วยเหตุผลอะไรสักอย่าง เราจะไม่โทษเขา มันคือเงื่อนไขในชีวิตเราไม่ตรงกัน บางคนที่เราคบ เรารู้สึกว่าเรารักกันแหละ แต่เขาไม่สามารถหยุดได้กับผู้หญิงคนเดียว เรารู้สึกว่าเงื่อนไขนี้เรารับไม่ได้ เราเดินออกมา แล้วจะมีผู้หญิงที่รับเงื่อนไขนี้ได้ แทนที่เราจะอยู่กันไปจนเกลียดก็กลับมาเป็นพี่น้องกันดีกว่า หรือที่คนมองว่าเราคงเป็นหญิงซิ่ง แต่ที่จริงเราคือหญิงแม่บ้านคนหนึ่ง คนที่เข้ามาอาจต้องการความสนุกแต่เราไม่หวือหวา บางทีเราอยากให้เขาไปหาแม่เรา เพื่อพาไปทำบุญกัน แต่พอเขาไปไม่ได้ และเขารู้สึกว่าเราไม่ใช่ผู้หญิงที่เขามองหา มันก็จบ ไม่จำเป็นต้องทะเลาะหรือแตกหัก เพราะวันหนึ่ง เราเคยรักกัน เราเคยรู้เรื่องกันและกันมากที่สุด
ช่วงวัยประมาณ 20-30 คุณได้เรียนรู้ความรักในแง่มุมไหนบ้าง
ผู้ชายที่เข้ามาส่วนใหญ่ค่อนข้างเจ้าชู้และมีชื่อเสียง ผู้หญิงเขาจะเยอะ ช่วงนั้นเราจะโดนผู้หญิงโถมด่าใส่ พอเขาเปิดตัวว่าคบกับเรา แฟนเก่าเขา แฟนตัวเล็กตัวน้อยของเขาส่งข้อความด่าเข้ามา แต่ที่ตลกกว่า คือตอนนี้ผู้หญิงที่ด่าๆ เรา ทุกวันนี้ก็ยังเจอกัน พอเจอหน้ากัน (ยกมือไหว้สวย) สวัสดีค่า ยิ้มกัน ไหว้กัน ผู้ชายคนนั้นไปมีใครแล้วก็ไม่รู้
ถ้าผู้ชายรักผู้หญิงสักคนจริงๆ เขาจะไม่ปล่อยให้ผู้หญิงไปตีกันหรือแย่งกันเพื่อเขา ถ้าคุณกำลังปล่อยให้เกิดเรื่องอะไรไม่รู้ แล้วคุณรู้สึกว่าคุณคือรางวัลของทุกคน คุณไปอยู่ของคุณเลย เราเลือกจะถอยออกมา
คุณจัดการกับความสัมพันธ์แบบนี้ได้ เพราะคุณเห็นคุณค่าในตัวเอง
นั่นคือโจทย์ในการเลี้ยงลูกของเราว่าก่อนที่จะรักใคร เราต้องรักตัวเองให้มาก เราไม่ชอบการทำตัวเป็นวงกลมที่ขาดหาย ใช้ชีวิตไปวันๆ รอคนมาเติมเต็ม แล้ววันหนึ่งวงกลมก็จะเต็มวง ไม่มีทาง ถ้าเราเติม ตัวเองไม่เต็มนะ เราก็จะลอยอยู่อย่างนั้น เราไม่ใช่ คนสวยเลย ไม่ใช่คนที่เก่งอะไรสักอย่าง สิ่งเดียวที่ เรากล้าพูดว่าเรามีดีคือ เรารู้ว่าเราเป็นใคร ต้องการอะไร กำลังจะไปไหน ตัวตนของเราชัดมาก เราไม่ต้องไปเอาใครมาเติมเต็ม เทรนด์แฟชั่นทำอะไรเราไม่ได้ เพลงก็ยังฟังที่ชอบ มีอาหารที่ชอบจะกิน เรารักตัวเอง เพราะเราได้รับการเติมมาอย่างเต็มมาก เราไม่เคยรู้สึกว่าต้องผอมกว่านี้ถึงจะแต่งตัว
มีบ้างไหมวันที่คุณเสียหลักกับความรัก
ประมาณอายุ 26 ที่เราคิดว่าเป็นความรักครั้งแรก ครั้งสุดท้ายหอกหักอะไรนั่นน่ะ (หัวเราะ) มันมีกัน ทุกคนแหละ ต่อให้รักตัวเองแค่ไหน เราก็จะเจอคนที่รู้สึกว่าคนนี้เรารักจริงๆ เราเสียเขาไปไม่ได้ แต่เฮ้ย! เขาไปจริงๆ เราขังตัวเองในรถที่ลานจอดรถพารากอน แล้วร้องไห้ตัวอ่อน ลูกกอล์ฟมาเคาะรถ แต่ว่าเราเปิดกระจกไม่ได้ เพราะมือมันอ่อน จิตมันสั่งกายจนเราอ้วกตลอดเวลา เราพยายามตั้งสติและตั้งหลักว่า ทำอย่างไรก็ได้ให้ชีวิตเราดีขึ้น และเริ่มมองความรักในมุมที่ไม่ไขว่คว้าอะไรทั้งสิ้น
แล้วความรักที่กลายมาเป็นคู่ชีวิตล่ะ แตกต่างจากความรักที่ทำให้เสียหลักอย่างไร
เราผ่านการล้มลุกคลุกคลานกับความรักมาหลายครั้ง เราเหนื่อยมามาก แต่พอมาถึงคนที่ใช่ มันง่ายมากเลย พี่โอ๊คเข้ามาตอนที่เรารู้สึกว่าไม่เอาแล้ว แต่พอพี่โอ๊คเข้ามา มันสว่างวาบเลย พอมาคิดดีๆ ผู้ชายคนนี้อยู่ในชีวิตเรามา 5 ปี ก่อนจะมาเป็นแฟนกัน พี่โอ๊คจะเป็นเส้นตรง ค่อยๆ ดึงเราจากความวี้ดๆ ให้นิ่ง แต่ก่อนเราก็จะชอบเมาต์อะ “พี่โอ๊ค ดูคนนั้นสิ” พี่โอ๊คจะเป็นคนที่ดึงด้วยคำว่า “คนเราต่างกัน” (หัวเราะ) หรือ “พี่ว่าเขาไม่ได้ตั้งใจ” ความเป็นคนดีของเขามันแผ่มาตั้งแต่เรารู้จักกัน เขาเป็นคนหนึ่งที่โดนข่าวหนักที่สุดในโลกที่เราเคยรู้จัก ข่าวที่มันทำลายชีวิตเขา คนรอบข้าง พี่โอ๊คจะรู้ว่ามันไม่ใช่เรื่องจริง ก็ถามพี่โอ๊คว่า “ไม่พูดอะไรหน่อยเหรอ” พี่โอ๊คก็บอกว่า “ไม่ พูดไปก็เท่านั้น เรารู้ของเราก็พอแล้ว”
ช่วงชีวิตหวือหวาก่อนมาเจอหมอโอ๊คเป็นอย่างไร
ตอนช่วง 20-30 ชีวิตเราหวือหวามาก เราสามารถจัดรายการวิทยุเลิกห้าทุ่ม แล้วไปตื่นที่ไหนก็ไม่รู้ได้ สามารถอยู่เกาะเป็นเดือน สนุก มีความสุข แต่ในความสุขนั้นมันมีความรู้สึกว่า เราทำอะไรอยู่ เรามี ทุกอย่าง ชื่อเสียงเงินทอง แต่พอเจอพี่โอ๊ค มันฟึ่บ! ธรรมดาและเรียบง่าย มันคือความจริง ความไม่ต้องคาดเดา ไม่ต้องตีความ แล้วเราเป็นคนเหมือนกันมาก แม้ภาพลักษณ์ไม่เหมือน แต่ความคิดในการมองว่าสิ่งไหนถูกสิ่งไหนผิดเราเหมือนกัน เช่น พี่โอ๊คจะเป็นคนที่ไม่อะลุ่มอล่วยให้กับความผิด ไล่ไปตั้งแต่ศีลธรรมยันกฎหมาย อย่างศีลห้าคือเรื่องปกติของพี่โอ๊ค แต่การกลับรถในบางที่ที่ห้าม แต่มันกลับได้ บางทีเราก็แอบกลับเหมือนกัน แต่พี่โอ๊คไม่
ก่อนที่จะมาเจอพี่โอ๊ค เราคบกับคนที่เราต้องคาดเดาว่าตอนนี้เขาอยู่ไหน อยู่กับใคร ในขณะที่กับพี่โอ๊คเราไม่ต้องเดา เขาอยู่แค่ไม่กี่ที่ บ้าน โรงพยาบาล ฟิตเนส คลินิก โทร.ตามได้ตลอด เขาคือคนที่สามารถไปรับหลานเราที่โรงเรียนได้ ไปหาพ่อกับแม่เราได้ พี่โอ๊คเป็นคนที่แชร์ทั้งทุกข์และสุขในช่วงที่ปอล์ เข้าโรงพยาบาล เขาคือคนที่ทำให้รู้สึกว่าการคบกันมันไม่ยาก ทำไมที่ผ่านมามันยาก เลยทำให้ตัดสินใจที่จะไปต่อถึงการแต่งงานได้ง่ายมาก
ในที่สุดความสุขมันคือความจริงที่ตรงไปตรงมา
เรากลายเป็นคนคนเดียวกันจริงๆ ไม่มีการโกหกหรือปิดบัง ชีวิตเราเลือกได้ เราเหนื่อยกับความไม่มั่นคงในความสัมพันธ์ อยากเจอคนรักเราในแบบที่เราเป็น ไม่ต้องเหนื่อยเป็นคนอื่น
ก่อนหน้านี้เราเคยเจอผู้ชายที่ไม่ชอบให้แต่งหน้าเราก็ต้องหน้าสดจริงๆ ไม่มีแป้ง ต้องเดินเอ็มโพเรียมตอนหน้าสด เราไม่ชอบแต่ก็ต้องทำเพื่อเขา หรือเคยเจอผู้ชายที่อยากให้เราแต่งหน้าสวยๆ แล้วเวลาไปไหนให้ถ่ายชุดส่งมาก่อนว่าสวยไหม (หัวเราะ) หลายคนไม่ใช่ไม่ดี แต่เงื่อนไขเรากับเขาไม่เหมือนกัน
มันคือการเลือกของเรา บางคนอยากมีครอบครัวที่น่ารัก อบอุ่น แต่คุณเลือกคนเจ้าชู้ไง บางคนแค่รู้สึกว่าหนูคิดว่าเขายังรักหนูอยู่นะ แต่เขามีคนอื่น แบบนี้คือเขาไม่รักไง คือไม่ต้องอ้างเหตุผล ไม่ต้องพยายามหาเหตุผลให้เป็นอย่างที่เราคิด เราเลือกชีวิตได้เอง
แล้วกิจวัตรหลังแต่งงานทุกวันนี้ของคุณเป็นอย่างไร
ตอนสมัยสาวๆ เราติดม่านดำไว้ในคอนโดฯ เลยนะ จะไม่ตื่นก่อนสิบโมง เพราะใช้ชีวิตหนักมาก ต้องนอนตื่นสายๆ ทุกวันนี้ ตี 5.40 ตะดึ๊ดๆ (ทำเสียงนาฬิกาปลุก) ดูลูกสิจ๊ะ (หัวเราะ) อยู่บ้านทั้งวันทั้งคืนดูลูก วันนี้เล่นอะไรดี เราจะชอบอ่านนิทานให้ฟัง คือลูกเราเกิดก่อนกำหนด 3 เดือน พอออกจากห้องไอซียูเด็ก หมอบอกในด้านร่างกายคงทำอะไรไม่ได้แล้ว ที่เหลือสติปัญญาพ่อกับแม่ต้องไปจัดการ เราก็เลยคิดว่า เราจะดูลูกตั้งแต่เด็ก อยากทำให้เขาจำได้ว่าแม่ฟัง เราค่อยๆ คุย ค่อยๆ พูด มองตาเขา คือก่อนที่เขาจะเข้าโรงเรียน เราอยากให้เขาสนุกกับชีวิตให้มากที่สุด
ก่อนแต่งงานวางแผนเรื่องมีลูกไว้อย่างไร
เราแพลนไว้ว่าจะไม่มีลูก เพราะไปฟังไปเชื่อตามนั้นว่าสังคมสมัยนี้น่ากลัว แต่พี่โอ๊คพูดว่า ถ้าคนที่พร้อมอย่างเราไม่มีลูก ประเทศไทยจะเป็นอย่างไร เราต้องมีลูกเพื่อชาตินะ (หัวเราะ) พี่โอ๊คบอกว่า ถ้าเรามีลูก เราจะเลี้ยงเขาด้วยสติปัญญา ลูกเราจะเป็นบุคลากรที่จะช่วยดูแลประเทศ สิ่งหนึ่งที่เราศรัทธาและเคารพในตัวพี่โอ๊คคือ เขาจะไม่คิดอะไรแค่ตัวเอง พี่โอ๊คกับเพื่อนเขาจะมีเป้าหมายอะไรที่เหนือขึ้นไปอีก เพื่ออุดรูรั่วบางอย่างทางสังคม สังคมตอนนี้มีปัญหาอะไรและเราทำอะไรได้บ้าง
อย่างเรื่องที่คิดจะไม่มีลูก พี่โอ๊คก็บอกว่า เราโทษสังคมทุกอย่างไม่ได้ ปัญหาที่เกิดขึ้นก็ต้องโทษพ่อแม่ด้วยนะ พี่โอ๊คชอบพูดว่าถ้าเราเลี้ยงลูกเอง เราจะกลัวอะไร เออจริง คือเราจะไปบอกว่าโรงเรียนสมัยนี้น่ากลัว ใช่ แต่พ่อแม่ต้องดูด้วยไง จะไปโยนลูกเข้าโรงเรียนแล้วก็จบ มันไม่ได้ สังคมสมัยนี้น่ากลัว ใช่ สังคม สมัยเราก็น่ากลัว ถ้าข้างในมันแน่นจริงๆ ก็รอด เราก็มีหน้าที่เลี้ยงลูกให้รอด
หลังจากผ่านวิกฤตเมื่อแรกคลอดมา ตอนนี้สุขภาพลูกทั้งสองเป็นอย่างไรบ้าง
เงื่อนไขตอนแรกของเราค่อนข้างโหด หลังจากที่นอนนิ่งๆ มา 2 เดือน เรามีภาวะหัวใจวายต้องทำคลอดแล้ว แต่ตอนนั้นเด็กยังไม่พร้อมออกมา หมอบอกว่า หนึ่ง Worst Case ที่สุดคือ ลูกไม่รอดทั้งคู่ สอง ถ้ารอดมาแล้วจะตาบอด สาม รอดมาแล้วเลือดจะออกในสมอง สี่ คลอดมาแล้ว เด็กจะหายใจเองไม่ได้ตลอดชีวิต ต้องสอดท่อช่วยหายใจ นั่นคือสิ่งที่เรารอ
ตอนนั้นจากคนที่เปลือกมากในการคิดแค่ว่าจะแต่งหน้าในห้องคลอดได้ไหม วันคลอดจริงๆ เราจำได้ว่าเราจับมือพี่โอ๊คแน่น แล้วคอยฟังเสียงลูกว่าจะ รอดไหม ตอนหมอผ่าได้ยินเสียงอลินเบามาก และไม่ได้ยินเสียงอลัน เขาเล็กมาก หนักไม่ถึงหนึ่งกิโลกรัม ความทรมานคือไม่รู้เลยว่าสิ่งที่หมอบอกไว้ หนึ่ง สองสาม สี่ นั้นจะเป็นอย่างไร ลุ้นไปเรื่อยๆ พอเกิดมาครบ โอเค หายใจเองได้ ตอนลูกต้องอยู่ไอซียูต่ออีก 2 เดือน หมอโทร.มาบอกว่า อลินหยุดหายใจ สมองเลือดออก อลินเป็นหัวใจรั่ว กว่าที่อลินจะผ่าหัวใจได้ต้องใช้ เวลาปีหนึ่ง ระหว่างนั้นห้ามเป็นหวัด ห้ามเป็นโรคที่ เข้าปอดได้ มันจะเป็นเรื่องใหญ่ จนอลินครบหนึ่งขวบก็ผ่าหัวใจ หมอบอกให้ระวังเรื่องปอดไปจนถึง 2 ขวบ พอ 2 ขวบกว่า เราชิลล์แล้ว จะเป็นหวัดเป็นอะไรก็ เป็นเลย ให้มันมีภูมิ
มีการวางแผนเตรียมไว้ไหม ในกรณีที่ลูกเกิดมาแล้วมีปัญหาตามที่หมอบอก
ตอนที่นอนโรงพยาบาลที่แรก เราไม่รับรู้ นอนร้องไห้อย่างเดียว บอกตัวเองว่าฉันปกติๆ จนตอนหลังเราต้องเผชิญหน้ากับมันแล้วว่านี่ไม่ใช่เรื่องปกติ เราจับมือพี่โอ๊คแล้วบอกว่า โอเค เราเกิดภาวะที่จะต้องคลอดในตอนที่น้องเขายังไม่มีอวัยวะเลย เรียกว่าแท้งนะ ปอล์ต้องนอนเพื่อปัดให้มันเกินไปอีก 2 เดือนนะ และลูกเกิดมาอาจจะมี หนึ่ง สอง สาม สี่ ตั้งสติ เผชิญมันให้ได้ ไม่ว่าลูกจะอยู่หรือไม่อยู่ เราเลิกมองว่าทำไมลูกเราไม่เหมือนคนอื่น ทำไมวันคลอดไม่ได้เอาลูกมาอยู่ข้างๆ แล้วถ่ายรูปลงไอจี มันไม่เกิดขึ้นกับบ้านเราแน่ๆ เพราะลูกเราต้องใส่ถุงพลาสติกเข้าตู้ เราต้องพร้อมเผชิญความจริงและตั้งหลักให้ได้
“มันเป็นการโตมาในสิ่งแวดล้อมที่ไม่ได้สบาย แต่โตมาในพลังแห่งความรักจริงๆ รักในที่นี้ไม่ได้รักแบบปกป้อง แต่รักแบบที่บ้านเรามีปัญหาอย่างนี้ เกิดเรื่องอย่างนี้ แชร์กันทุกเรื่อง ซึ่งสำคัญมาก”
ใช้ความเข้มแข็งอย่างไรเพื่อเผชิญสถานการณ์ ที่ต้องนอนนิ่งๆ กว่า 2 เดือน
มันเปลี่ยนชีวิตเราเลยนะ เมื่อเราต้องเผชิญกับอะไรบางอย่างที่เป็นความจริงของชีวิตที่วันหนึ่งทุกคนต้องเจอคือ เกิด แก่ เจ็บ ตาย เราก็คิดได้ว่า สุดท้ายแล้วชีวิตมันคือแค่คนที่เรารักนั่นแหละ ชื่อเสียงเงินทองอะไรช่วยไม่ได้เลย เรามาอย่างไร เราก็จะไปอย่างนั้น ในวันที่เรานอนหัวใจวาย เราคิดจริงๆ นะว่า ชีวิตเรายังไม่ได้ทำอะไรอีก นั่งติ๊กในใจ เอ๊ะ มีอีกหลายอย่าง แต่ก็มีอีกหลายอย่างที่เราทำแล้ว ถ้าเราไปตอนนี้เราโอเค เราใช้ชีวิตคุ้ม ได้เป็นอย่างที่เราอยากทำ ได้ดูแลพ่อแม่อย่างดีที่สุด มันทำให้เรากลายเป็นคนซาบซึ้งกับเรื่องง่ายๆ เช่น การได้นั่ง เพราะก่อนหน้านั้น เราต้องนอนเอาปลายเท้าลงตลอดเวลา เพราะถ้า เรายกขึ้น เลือดเราจะออก วันที่รู้สึกว่ามันจบลงแล้วคือวันคลอด เราไม่เคยรู้เลยว่าการนั่งมันยิ่งใหญ่ ขนาดไหน ไม่เคยรู้เลยว่าเซเว่นฯ ช่างสวยงาม จนวันที่พี่โอ๊คพาเรานั่งรถเข็นเพื่อไปซื้อของ (หัวเราะ) เป้าของชีวิตเราไม่ได้ยิ่งใหญ่อะไรแล้ว แค่กลับบ้านเจอลูก เจอสามี เจอพ่อแม่ ได้อยู่กับคนที่เรารักและรักเรา
สามีให้กำลังใจอย่างไร
ไม่ใช่คำพูด มันคือการกระทำ เวลาคนเราพูด มันพูดได้ง่ายมากว่า เรารักเธอๆ รักน้าาา (เสียงสูง) หรือเพื่อน รักน้าาา (เสียงสูง) ไม่จริง คนรักกันไม่พูดหรอก
ตั้งแต่เป็นแฟนพี่โอ๊คที่คนด่าเราทั้งโลกว่า สร้างภาพ มีผลประโยชน์อะไรต่อมิอะไร เราจับมือพี่โอ๊คในรถ แล้วพี่โอ๊คถามว่า ปอล์ไหวไหม เพราะเราไม่เคยโดนด่าหนักขนาดนั้นมาก่อน เราคิดในใจว่า ทำไมเราจะไม่ไหว ในเมื่อความจริงของเราคือคนที่นั่งจับมือเราอยู่ตรงนี้ ในขณะคนที่ด่าเราคือใคร เราไม่รู้จักเลย เพื่อนเรา พ่อแม่เรา รับรู้ว่าเราคบกับพี่โอ๊ค แค่นั้นจบ
วันที่เกิดเรื่องในชีวิต สิ่งที่เขาทำคือ เขาไม่เคย ทิ้งเราเลยสักนาทีเดียว เรารู้ว่าเขาเหนื่อยมากที่ต้องออกจากบ้าน แวะเอาข้าวมาให้ที่รามาฯ กินข้าวเช้ากับเราทุกวัน ไปทำงานต่ออีกโรงพยาบาล ถึงกลับมาหาเราตอนกลางคืน รอจนเราหลับแล้วจึงกลับบ้าน จนพอลูกคลอดออกมาปุ๊บ มันก็ยากกว่าตอนที่นอนโรงพยาบาลอีก เพราะลูกเราไม่แข็งแรงเลย แต่พี่โอ๊ค
อยู่กับเราตลอด ผู้หญิงหลังคลอดต้องปั๊มนมทุก 3 ชั่วโมง หกโมงเช้า เก้าโมง เที่ยง บ่ายสาม หกโมงเย็น สามทุ่ม เที่ยงคืน ตีสาม กว่าจะปั๊มนมอีก 40 นาที ล้างขวดนม ลูกร้อง ตื่น จิตตกมากในช่วงที่มีลูกอ่อน แต่พี่โอ๊คตื่นทุกรอบ พ่อบางคนจะรู้สึกว่าเป็นหน้าที่แม่ในการเลี้ยงดูลูก แต่พี่โอ๊คไม่เคยเลย สภาพคนให้นมลูกมันทุเรศ มันไม่สวยงาม นั่งบีบนมไปเรื่อยๆ แต่พี่โอ๊คจะเอาข้าวสารอุ่นมาประคบช่วย เขาไม่เคยทิ้งเราไปเลย เขารักเราไม่ว่าทุกข์หรือสุข เขารับเราได้ไม่ว่าชีวิตจะนำพาเราไปทางไหน
คุณเห็นว่าความรักมันช่วยนำทางและหล่อเลี้ยงชีวิตของเราได้ แต่ในสังคมทุกวันนี้ที่ความเกลียดชังส่งต่อกันง่ายมาก คุณคิดว่าเราจะใช้ความรัก แก้ปัญหาได้อย่างไร
เราว่ามันต้องใช้ความรักและความแข็งแกร่งในทุกภาคส่วน เริ่มจากเราต้องรักตัวเอง เมื่อเรารักตัวเองใครจะบูลลีเราอย่างไรมันก็ไม่มีผล เราเชื่อในความเป็นมนุษย์ เราไม่เคยรู้สึกเลยว่าโลกนี้มีแค่เพศหญิงและเพศชาย เราอยู่หญิงล้วนมา เพื่อนเราเป็นทอม ดี้ เป็นเลสเบี้ยน ทุกวันนี้เพื่อนรอบกายเราเป็นเกย์ ไม่ว่าคุณจะระบุว่าเขาเป็นอะไร เขาก็เป็นมนุษย์ไง มีข้อดีข้อเสีย ตัวเราเองต้องรู้ดีที่สุด ถ้าเราเป็นเกย์เราต้องไม่รู้สึกเซนซิทีฟถ้าใครด่าเรา นึกออกไหม แล้วคนที่ มีสติช่วยสอนลูกด้วยว่า หยุดล้อเลียนใครในสิ่งที่ ไม่มีประโยชน์และน่ารำคาญ เช่น ล้อเรื่องเพศสภาพ ล้อเรื่องรูปลักษณ์ ล้อเรื่องอะไรก็ตามที่พูดแล้วไม่ได้ทำให้คุณดูดีขึ้นมา ถ้าเป็นไปได้อย่ารู้สึกอะไรกับ คำด่าพวกนั้น โดยเฉพาะไซเบอร์ บูลลี บางทีชาวเน็ตเหล่านั้นเราไม่มีทางรู้เลยว่าเขาเป็นใคร เวลาเห็นใครด่าใคร หรือคอมเมนต์กันด้วยคำแรงๆ หยาบๆ เราไม่รู้เลยว่าเขาคิดอะไรอยู่ ปมชีวิตเขาคืออะไร เราแคร์ แค่คนที่เราควรแคร์ เราไม่ฟังคนที่รู้สึกว่าต้องเสียเวลาชีวิตไปเพื่อเขา
เรื่องงานในวงการ หลังจากประสบความสำเร็จกับเรื่อง แจ๋ว มีคนยื่นบทบาทในลักษณะคล้ายกันให้คุณแสดงอีก อะไรทำให้คุณตัดสินใจที่จะเลือกรับหรือไม่รับ
เราเข้าวงการจากการเล่นเรื่อง แจ๋ว เป็นประสบการณ์ที่สนุกมาก เราจำได้ว่าพี่สิน (ยงยุทธ ทองกองทุน) ไม่ให้เรากับปุ๊กกี้แต่งหน้าเลย พยายามเขียนคิ้วก็ต้องลบออก หน้าสดล้านเปอร์เซ็นต์ แล้วเวลาพี่สินเรียกเข้าฉากเราก็พยายาม “พี่สินคะ เพิ่มบทให้หนูสิคะ” (หัวเราะ) พอเล่นเรื่องนั้นปุ๊บมันก็เริ่มมีบทคล้ายๆ กัน หรือไม่อย่างนั้นก็เป็นบทแบบสีสัน ฉูดฉาดมากๆ ซึ่งเรารู้สึกว่ามันเยอะไปแล้ว และตอนนั้นเราติดใจการทำงานเบื้องหลัง คือหลังจากจบเรื่อง แจ๋ว เราเข้าหับเลย (บริษัท หับโห้หิ้น บางกอก จำกัด) เป็นแคสติ้ง กับปุ๊กกี้ เราต้องหานักแสดงที่หน้าเหมือนแดจังกึม เราต้องนั่งมอเตอร์ไซค์ไปรอหน้าจตุจักร เพื่อคอยดูว่าใครหน้าเหมือนแดจังกึมวะ (หัวเราะ) สนุกมาก นั่นคืองานเบื้องหลังที่ทำให้ต่อยอดมาจนทุกวันนี้
มารู้สึกว่าอยากทำเบื้องหน้ามากๆ คือตอนทำพิธีกร การแสดงคือความสนุก แต่ความรักจริงๆ คืองานพิธีกร การได้รู้ชีวิตใครสักคนอย่างถูกต้อง การถามแล้วเขาก็ตอบ เหมือนเขาจ้างเราไปเป็นตัวเอง เราอ่านสคริปต์นิดเดียวที่เหลือไปด้วยใจเอง มันคือคนเสือกคนหนึ่งที่ได้รับอนุญาตให้รับรู้เรื่องทั้งหมด (หัวเราะ)
เวลามีคนมาชื่นชมคุณมากๆ ยกให้คุณเป็นไอดอล คุณรู้สึกหรือมีความคิดอะไรในใจ
ถ้าเขาชื่นชมเราไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไร เราก็ยิ้ม เราดีใจ แต่เราก็จะไม่เอามาเป็นอัตตาให้เราต้องถือ ว่าเห็นไหมฉันคือไอดอลนะ อันนี้ไม่ได้ คนมาชอบเรา เราปลื้มนะ มันมีความหมายสำหรับเรา แต่เราต้องวางไว้ตรงนั้น ไม่แบกมันจนต้องไปฟูใส่คนอื่น
คุณคิดว่ามันยากไหมสำหรับคนที่อยู่ในวงการบันเทิง แล้วต้องประคองตัวเองไม่ให้ไหลไปตามการสรรเสริญเยินยอต่างๆ
มันไม่ใช่แค่ในวงการบันเทิงหรอก ทุกวันนี้ทุกคนมีสื่อของตัวเอง ไอจี เฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์ มันเป็นช่องทางสำหรับแต่ละคนที่จะต้องการเป็นใครสักคนอยู่แล้ว ชื่อเสียงเงินทองเป็นเรื่องที่ดึงให้ชีวิตเราพังได้ง่ายที่สุด มันขึ้นอยู่กับว่าเราตั้งหลักกับชีวิตตัวเองได้เร็วแค่ไหน ช่วงดังมากๆ ปอล์ไม่ต้องต่อคิวอะไรเลย และเรา เคยปลื้มมัน ซึ่งผิดมาก ทุกวันนี้ต่อให้ไม่ต้องต่อคิว เราก็ไม่ทำ ปอล์จะไม่ใช้อภิสิทธิ์อะไรแบบนั้น
เคยมีช่วงที่เป๋ไปบ้างไหม
โห ตื่นเต้นมาก ทุกบ้านเปิดประตูให้เราหมด จำได้ว่าเคยรถติด เราลงจากรถแล้วเคาะบ้านใครที่ริมถนนเพื่อขอฉี่ เขาก็ให้เข้า เรานั่งมอเตอร์ไซค์ที่สุราษฎร์ฯ เห็นต้นไม้บ้านเขาสวย ก็กดออดขอเข้าไปถ่ายรูป เขาก็เปิดให้เข้า ปอล์ไม่ต้องซื้อของเลย มีคนส่งของ เสื้อผ้า รองเท้า มาให้เต็มไปหมด คือถ้าเราไม่มีสติ ถ้าไม่มีพ่อแม่ที่เป็นคนธรรมดา ถ้าไม่มีเพื่อนที่เป็น อีก. อีข. คอยดึง เราก็คงไปไกลเหมือนกัน
ปอล์โชคดี เพื่อนทุกวันนี้ของเราคือเพื่อนที่คบกันมาสิบกว่าปี เป็นคนที่อยู่มาตั้งแต่ตอนเรานั่งรถเมล์ เห็นชีวิตล้มลุกคลุกคลาน เป็นเพื่อนกันตั้งแต่วันที่ มึงไม่มีอะไรเลย มึงคือคนที่ดูดยาคูลท์ปีโป้ปั่นแก้วเดียวกับกู เราผ่านทุกอย่างมาด้วยกัน แล้วก็ช่วยเหลือกันในฐานะมนุษย์ ทุกคนกล้าเตือนกัน เช่น ซื้อของเยอะไปแล้ว ทำไมไม่เอาเงินไปผ่อนคอนโดฯ
เพื่อนในวงการก็มีบ้าง แต่เป็นเพื่อนที่เราไม่รู้สึกว่าเป็นเพื่อนในวงการ แต่เป็นเพื่อนในชีวิต เป็นคนที่ฝ่าฟันอะไรกันมา ซึ่งมันจะขัดกับที่ทุกคนชอบหาว่าเราอยู่ในวงการมายา เราจะบอกว่า ไอ้วงการอะไรก็ตาม มันคือโลกมนุษย์ มีมนุษย์อยู่หลายประเภท เราจะไม่สรุปเขาจากอาชีพของเขา ไม่ว่าคุณเป็นใคร ก็มีทั้งดีและเลว
“เมื่อเราต้องเผชิญกับอะไรบางอย่างที่เป็นความจริงของชีวิตที่วันหนึ่งทุกคนต้องเจอคือ เกิด แก่ เจ็บ ตาย เราก็คิดได้ว่า สุดท้ายแล้วชีวิตมันคือแค่คนที่เรารักนั่นแหละ ชื่อเสียงเงินทองอะไรช่วยเราไม่ได้เลยเรามาอย่างไร เราก็จะไปอย่างนั้น”
ตอนนี้ชีวิตมาถึงจุดที่สามารถเลือกและจัดสรรสิ่งต่างๆ ได้อย่างลงตัวแล้ว มีอะไรอีกบ้างไหมที่ยังอยากจะทำ
เราไม่ได้มาจากครอบครัวร่ำรวย ดังนั้นสิ่งที่ค่อนข้างระวังคือการใช้ชีวิตและความมั่นคง ชีวิตตอนนี้เป็นไปตามที่แพลนไว้เมื่อตอน 20 กว่า ที่คิดไว้ว่า “วันหนึ่งฉันไม่อยากรอให้ใครมาจ้างฉัน” เราเลยตั้งบริษัท ขึ้นมาเพื่อที่อยากจะจ้างตัวเองในอนาคต ตอนนี้บริษัทนางแมวป่าของเราจ้างเราเป็นพิธีกร (หัวเราะ) เรามีความสุขกับการเดินไปขายงานลูกค้า ได้อยู่กับเพื่อนกับพี่น้อง เรามีความสุขกับการทำโปรดักต์ของตัวเองที่เกิดจากแพสชัน ตอนนี้เรามองว่าตัวเองเป็นนักธุรกิจที่กำลังดำเนินธุรกิจของเราเองโดยไม่ใช้เงินเป็นเป้าเลย เราใช้แพสชันล้วนๆ ใช้ความรักขับเคลื่อนทุกอย่าง
อย่างสบู่ เราเริ่มจากแค่อยากทำ เพราะเราลองเอากากกาแฟที่ร้านตัวเองมาขัดตัวแล้วมันดี เราก็เอาไปต่อยอด บังคับสามีที่เป็นหมอผิวหนังให้พิสูจน์ (หัวเราะ) เราเริ่มขายจากในร้านกาแฟ จนตอนนี้มันเป็นอันดับหนึ่งของร้านอีฟแอนด์บอย ท่ามกลาง สกินแคร์ทั้งหมด ซึ่งมันพิสูจน์บางอย่างในใจเราว่า ถ้าเรารักมันจริง ตั้งใจทำจริงๆ มันจะดี ทุกวันนี้เราตอบไลน์ลูกค้าเอง พอเรารันทุกอย่างด้วยความรัก มันได้จริงๆ
ส่วนงานเบื้องหน้าเรารู้สึกอิ่ม เราทำทุกอย่างมาหมดแล้ว เราไม่เคยแพลนว่าเราจะอยู่เบื้องหน้าไป จนแก่ เราชอบอยู่เบื้องหลัง ทุกวันนี้เราคิดรายการหลายอย่าง มีความสุขกับโลกดิจิทัลมาก งานออนไลน์มาร์เก็ตติ้ง เราสนุกมาก เป็นอีกแชปเตอร์หนึ่งของ ชีวิต ชีวิตตอนนี้มีความสุขมาก
กว่าจะเข้าใจชีวิตในแง่มุมต่างๆ คุณต้องผ่านประสบการณ์ที่หลากหลายมาก และคุณบอกว่าความรักเป็นแรงผลักที่สำคัญในชีวิต คุณอยากอธิบายคำนามธรรมนี้ว่าอย่างไร
เรามั่นใจว่าแม้แต่คนที่เก่งภาษาที่สุดก็ไม่สามารถอธิบายคำนี้ได้ลึกซึ้งหรือครอบคลุมที่สุด มันเหมือนความร้อนคืออะไร ความเย็นคืออะไร เรารู้สึก ถูกไหม แต่เราอธิบายมันไม่ได้ รู้สึกแค่ว่ามันเป็นแรงผลักดันในชีวิตของเรา ตั้งแต่เด็กจนถึงตอนนี้ ตอนเด็กพ่อแม่ใช้ความรักผลักดันให้เราไปข้างหน้า วันนี้เราเป็นแม่ เราเป็นเมีย ความรักก็ผลักดันให้เราไปต่อ บางทีวันที่เหนื่อยที่สุด แต่พอเห็นลูกวิ่งยิ้มมาหา จบ เข้าใจคำว่าเหนื่อยกายไหม แต่ใจของเราไม่เคยเหนื่อย
มันเป็นสิ่งสวยงาม
สำหรับปอล์ที่ผ่านทุกอย่างทั้งดีร้ายบวกลบ เกิดแก่เจ็บตายในชีวิตมา ความรักเป็นสิ่งสวยงามท่ามกลางทุกอย่างบนโลกใบนี้ จริงๆ ต่อให้เป็นสิ่งที่แย่ มันก็ เกิดจากความรักทั้งสิ้น เกลียดเกิดจากอะไร ไม่ชอบเกิดจากอะไร เกิดจากความรักทั้งหมด อยู่ที่ว่าเขาจะหยิบใช้มุมไหน บังเอิญความรักของปอล์เป็นพลัง ด้านบวกที่ทำให้เราผ่านทุกอย่างมาได้ และจะเป็นพลังให้เราไปต่อ