“อยากรู้ว่าคราบหินปูนของแม่หญิงลีปั้นไอ้ไข่ได้กี่ตัว” นี่คือคอมเมนต์จากไลฟ์ในเพจ VEEN ที่ถามพระมหาเทวีเจ้า หรือแม่หญิงลี หรือน้องเฟิร์น 28 หรือบังลี หรือน้องแพรว (และน่าจะมีอีกหลายชื่อที่เป็นชื่อของเธอ) แน่ละว่าไม่ใช่เพราะบูชาพระมหาเทวีเจ้าจนอยากเอาคราบหินปูนไปสักการะ แต่คือการบูลลี่รูปลักษณ์ของเธอเต็มๆ สิ่งที่แม่หญิงลีตอบกลับไปคือเบี่ยงประเด็นว่า ไม่ควรเอาสิ่งศักดิ์สิทธิ์มาเล่น และก็ไม่ปฏิเสธเพราะว่าคราบหินปูนของเธอก็เยอะจริงๆ
ปรากฏการณ์หัวลำโพงและห้างสยามพารากอนแทบแตกเพราะพสกนิกรเยาวรุ่นแห่แหนไปต้อนรับพระมหาเทวีเจ้าแห่งเมืองทิพย์ สร้างความงงงวยให้กับคนที่ไม่รู้จักว่าเธอคือใคร ทำไมถึงดัง ซึ่งก็มีรายการทีวีและสื่อออนไลน์หลายสำนักไขความกระจ่างไปบ้างแล้ว แต่สิ่งที่ผู้เขียนคิดว่าน่าเรียนรู้ คือวิธีการรับมือการถูกบูลลี่ เปลี่ยนข้อด้อยให้กลายเป็นจุดเด่น ทำให้เธอกลายเป็นเน็ตไอดอลคนล่าสุดที่โด่งดังมาจากการถูกบูลลี่ที่เจ้าตัวก็น้อมรับแบบ ‘ชิลๆ’
‘ความส๊วยยย’ ที่ไม่ได้มาตรฐานแต่ดันเป็น ‘เทสวัยรุ่น’
ชาติ-บุหงาวลัย คงขวัญ เป็นชาวอำเภอแม่ลาน จังหวัดปัตตานี โด่งดังมาจากคลิป ‘วีนเหวี่ยง’ เพื่อนสาวนักปั่น เป้-เมญ่า ลินดา หรือ อีทิพย์ ผู้ชอบยั่วโมโหให้แม่หญิงลีระเบิดอารมณ์โกรธ แต่ออกมากลับดูสนุกสนาน ตลกขบขันเสียมากกว่า นำมาซึ่งวลีเด็ดมากมาย ไม่ว่าจะเป็น เยาวรุ่น, ความส๊วยยย, ออกไป๊! อีสัส, เจ๊อย่าวีน, จึ๋งมากแม่, เทสวัยรุ่น, กูจะบ้าตายรายวัน ฯลฯ จริงๆ แล้วความตลกขบขันก็เรื่องหนึ่ง แต่ผู้เขียนคิดว่ามันเป็นประสบการณ์ร่วมกัน เพราะเราเองต่างมี ‘อีทิพย์’ อยู่ในตัวเอง ชอบแหย่เพื่อน ยิ่งโกรธยิ่งสนุก จึงกลายเป็นที่ถูกอกถูกใจวัยรุ่น ดูแล้วติดราวกับดูคลิปบีบสิว ทำให้เพจ VEEN ที่เพิ่งสร้างเมื่อเดือนธันวาคมปีที่แล้วมีผู้ติดตามเกือบ 5 แสนคน อีกหนึ่งส่วนผสมความสำเร็จที่ปฏิเสธไม่ได้ ก็คือรูปลักษณ์อันเต็มไปด้วยข้อบกพร่อง หากวัดด้วยมาตรฐาน ‘ความส๊วยยย’ ของสังคม ทั้งรูปร่าง หน้าตา สีผิว สีของฟัน แต่แม่หญิงลีดันวางตนเป็น ‘เจ้านางขี้วีน’ โดยได้แรงบันดาลใจจากละครสุดโปรดเรื่อง เพลิงพระนาง ซึ่งเจ้าตัวมักคัฟเวอร์เป็นพระมหาเทวีเจ้าเสกขรเทวีกับเจ้านางอนัญทิพย์สลับไปมา มันคือความย้อนแย้งอันเต็มไปด้วยอารมณ์ขัน จนเอฟซีขออวยยศให้ขึ้นเป็นพระมหาเทวีเจ้าแห่งเมืองทิพย์ที่ไม่มีอยู่จริง นัยหนึ่งก็ดูตลกดี แต่ลึกๆ แล้วมันคือการเย้ยหยันมาตรฐานทางสังคมถูกจริตวัยรุ่นที่มี ‘ความขบถ’ ในตัวเอง
I’m beautiful no matter what they say
“ไม่รู้สึกเจ็บปวดค่ะ เราเป็นตัวเราเองแบบนี้ดีที่สุดแล้ว เราเป็นยังไงก็เป็นอย่างนั้น นั่นคือสภาพของเรา” พระมหาเทวีเจ้าให้สัมภาษณ์กับ หนุ่ม-กรรชัย กำเนิดพลอย ในรายการ โหนกระแส กรณีที่ถูกบูลลี่เรื่องรูปลักษณ์ นี่ไม่ใช่ประโยคที่พูดออกมาให้ดูสวยหรู แต่เธอคิดแบบนั้นจริงๆ ดูได้จากคลิปแจ้งเกิดวลีเด็ดในตำนาน ‘กูจะบ้าตายรายวัน’
เมื่ออีทิพย์หนีบผมให้เป็นสโลปรับกับใบหน้าจนเป็นที่พอใจ แม่หญิงลีก็เดินไปส่องกระจกแล้วโพสท่าประหนึ่งนางแบบ หลายคนอาจดูแล้วขบขัน แต่ในเมื่อเจ้าตัวคิดว่าสวยจนมั่นใจจะทำอะไรก็ดูมีความสุข แล้วยังเล่นมุกต่อสร้างความสุขให้คนอื่นได้อีก สิ่งเหล่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นจากความสมเพชตัวเอง แต่คือการยอมรับในขีดจำกัดและข้อด้อยจนสามารถล้อเล่นกับมันเพื่อสร้างเสียงหัวเราะให้คนอื่นได้
อีกหนึ่งข้อสังเกตที่บอกถึงมุมมองต่อตัวเองอย่างมั่นใจคือ ชื่อ ‘บุหงาวลัย คงขวัญ’ เอาจริงๆ คือชื่อนี้คงไม่ใช่ชื่อที่พ่อแม่ตั้งให้ ถึงแม้พระอาจตั้งให้ก็ได้ แต่ท้ายที่สุดแม่หญิงลีก็เป็นคนเลือกเอง ชื่อสวยๆ ประหนึ่งนางงามสวนผลไม้นี้สะท้อนการมองตัวเองที่ไม่ว่าใครคิดว่าฉันขี้เหร่ แต่ฉันเชื่อว่าฉันสวยเสีย อย่างใครจะทำไม?
ถอดบทเรียนเมื่อถูกบูลลี่ฉบับแม่หญิงลีแห่งเมืองทิพย์
“โอ๊ย ไม่ใช่การบูลลี่หรอกค่ะพี่หนุ่ม เพราะตรงนี้มันเป็นแรงผลักดันให้แม่หญิงลีมาถึงจุดนี้ มันคือจุดขายค่ะ” พระมหาเทวีเจ้าตอบ หนุ่ม กรรชัย อีกครั้งเมื่อมีคอมเมนต์จากทวิตเตอร์ว่าพิธีกรบูลลี่แขกรับเชิญเรื่องข้อพับดำเหมือนควันรถสิบล้อ นี่คือเรื่องจริงที่ ‘จึ๋งมากแม่’ เพราะถ้าหากไม่น้อมยอมรับในข้อด้อยของตัวเอง เธอก็คงไม่ดังอย่างวันนี้
จุดด้อยทุกข้อของแม่หญิงลีกลายเป็นจุดทำเงิน พอฟันเหลืองก็มีแบรนด์ยาสีฟันส่งไปให้รีวิว รักแร้ดำก็มีผลิตภัณฑ์รักแร้ขาวส่งไปให้ลองใช้ ข้อด้อยเหล่านี้มันคือสิ่งธรรมดาสามัญที่ใครๆ ก็เป็น ถ้ายอมรับไม่ได้ก็จงทำให้มันดีขึ้น ยิ่งดีเสียอีกถ้าพระมหาเทวีเจ้าใช้แล้วดีขึ้น คนที่มีปัญหาไม่หนักหนาสาหัสแบบนี้ก็น่าจะใช้ได้ผลเหมือนกัน แม่หญิงลีก็เลยกลายเป็นอินฟลูเอนเซอร์สุดฮอตไปในที่สุด
อาจจะมีคอมเมนต์ว่าตลกบ้าง อุบาทว์บ้าง ก็จะไปสนใจทำไม ถ้ายังข้องใจก็อยากให้กลับไปอ่านตรงหัวข้อที่แล้ว สังคมไทยมีความเป็นกันเอง ซึ่งบางทีล้ำเส้นเกินไป บ่อยครั้งที่เราจะได้รับฉายาจากความบกพร่องด้านรูปลักษณ์ เรียกว่าอีหยิกบ้างล่ะ ไอ้เหยินบ้างล่ะ อีอ้วนบ้างล่ะ ด้วยเหตุผลว่าก็เห็นสนิทกัน ล้อนิดล้อหน่อยจะเป็นอะไรไป ถ้ายังแก้สังคมไม่ได้ก็คงต้องหันมาแก้ที่มุมมองต่อตัวเอง ให้คิดว่าถึงจะหยิกก็หยิกแบบบียอนเซ่ ถึงจะเหยินก็เหยินแบบโรนัลดินโญ และถึงจะอ้วนฉันก็อ้วนแบบเคต อัปตัน ที่สำคัญคือขอให้ยอมรับมันได้จริงๆ อย่าแสร้งทำเป็นตลกกลบเกลื่อน เพราะนั่นอาจจะทำให้เราทุกข์หนักกว่าเดิม แล้วสักวันเราจะเดินส่องกระจกออกจากบ้านอย่างมั่นใจ ซึ่งถ้าได้แค่ครึ่งหนึ่งของพระมหาเทวีเจ้าก็ถือว่าแฮปปี้แล้ว
ภาพ: เพจ VEEN
พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า