ปิดเตาลงเป็นที่เรียบร้อยกับการแข่งขัน MasterChef Thailand ซีซัน 4 หลังจากพาผู้เข้าแข่งขันจากทุกอาชีพและทุกภาคของประเทศไทยมาแข่งทำอาหารผ่านภารกิจประชันฝีมือมาราว 4 เดือนเต็ม ด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิดทำให้ต้องมีการปรับรูปแบบรายการอยู่หลายครั้ง
แต่ในที่สุดก็ได้ผู้ชนะอย่าง ลี่-พรชนัน พัฒนาปัญญาสัตย์ กลายเป็นแชมป์ผู้หญิงคนที่ 3 ของรายการ เฉือนเอาชนะ เตอร์-ณัฐวัฒน์ เกษมวิลาศ และ จิมมี่-ปณิธี ตั้งศตนันท์ ได้รับถ้วย MasterChef Trophy และเงินรางวัล 1 ล้านบาท
ลี่ คือผู้เข้าเเข่งขันที่เคยตกรอบในการออดิชันครั้งแรกมาก่อน แต่เพราะโอกาสในการท้าชิงผ้ากันเปื้อนครั้งที่ 2 ทำให้เธอได้กลับเข้ามาในการแข่งขันอย่างหวุดหวิด
แม้จะเริ่มต้นด้วยการคว้าโอกาสที่ 2 แต่ลี่คือหนึ่งในผู้เข้าเเข่งขันที่น่าจับตามอง ด้วยฝีมือการทำอาหารที่พัฒนาอย่างก้าวกระโดด และการนำเสนอเมนูที่สร้างสรรค์สร้างความประหลาดใจให้กับทั้งผู้ชมและคณะกรรมการอยู่เสมอ
ในการแข่งขันครั้งสุดท้าย ลี่ได้วาดลวดลายการทำอาหารและนำเสนอการปรุงรสของเธอออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม ด้วยคอนเซปต์คู่ชีวิต ที่เปรียบอาหารทั้ง 3 จานแทนความรัก 3 ระยะ
เริ่มด้วยเมนูอาหารเรียกน้ำย่อย ‘รักแรกพบ’ ที่นำวัตถุดิบพื้นบ้านไทยมาทำเป็นองค์ประกอบในจานได้อย่างลงตัว ตามมาด้วยเมนูอาหารจานหลัก ‘รักระยะทดลองศึกษาดูใจ’ ที่ลี่เปลี่ยนมาใช้เทคนิคการทำอาหารสไตล์ฝรั่งเศส ด้วยการนำอกเป็ดมารมควันร่วมกับกลิ่นกุหลาบ เสิร์ฟกับราสป์เบอร์รีซอสและซอร์เบต์ลิ้นจี่ พิสูจน์ให้เห็นว่าเธอเองก็สามารถทำเมนูอาหารคาวได้ดีเยี่ยมไม่แพ้เมนูของหวานเลย
ปิดท้ายเมนูของหวานที่เป็นจุดแข็งของลี่ ซึ่งแน่นอนว่าเธอสามารถสร้างสรรค์เมนูออกมาได้อย่างยอดเยี่ยมด้วยจานที่มีชื่อว่า ‘รักแท้ที่ห่างกันก็คิดถึง แต่หากเจอก็เย็นใจ’ เป็นมูสข้าวโพดนมสดไวต์ช็อกโกแลต เสิร์ฟกับสปันจ์เค้กถ่านมันกุ้งขนมผิงผสมกุ้งแห้งและซอสกะทิอบควันเทียน ซึ่งลี่ผสมผสานขนมหวานแบบไทยกับสไตล์ยุโรปได้อย่างลงตัวจนได้ใจคณะกรรมกรรมการไปเต็มๆ
“ลี่ไม่ได้เก่งกว่าคนอื่น แต่สิ่งที่ลี่มีคือไม่ยอมแพ้และใจสู้ หาความรู้ใส่ตัวตลอด แล้ววันนี้ก็เห็นผล”
ลี่กล่าวในรายการถึงชัยชนะของเธอที่แลกมาด้วยความพยายามและความมุ่งมั่นตลอดการแข่งขัน
และในขณะประกาศผล ตามธรรมเนียมของรายการแล้วผู้เข้าแข่งขันจะไม่มีทางรู้ก่อนว่าตนเองชนะ เราจึงได้เห็นภาพที่ลี่กระโดดโลดเต้นและชูถ้วยรางวัลจนสุดแขน เพราะชัยชนะที่ได้มาไม่เพียงการันตีฝีมือการทำอาหารที่ยอดเยี่ยมของเธอเท่านั้น
แต่เป็นรางวัลแห่งความพยายามที่พิสูจน์ให้ผู้ชมเห็นว่า ‘ถ้าเราใจสู้มากพอ สักวันจะต้องเป็นวันของเรา’ อย่างที่ลี่ได้ทิ้งท้ายไว้ในรายการ
