×

สัมภาษณ์ผู้ก่อตั้ง Le Labo แบรนด์สุดเท่ที่เท ‘ความรู้สึก’ เข้าไปในขวดน้ำหอม

29.07.2019
  • LOADING...

HIGHLIGHTS

5 Mins. Read

 

  • Le Labo ไม่อาศัยการตลาดแบบใหญ่โตเหมือนแบรนด์ใหญ่แบรนด์อื่นๆ แต่กลับมีศิลปินและคนดังในวงการมากมายไม่ว่าจะเป็น เซเลนา โกเมซ, เอมิเลีย คลาร์ก, ไรอัน เรย์โนลด์ส ที่ออกตัวว่าใช้น้ำหอมจากแบรนด์นี้
  • “ผมตกหลุมรักกับกลิ่นต่างๆ ตั้งแต่อายุน้อยๆ โดยที่ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ ต้นมะเดื่อฝรั่งหน้าบ้านของคุณยาย, น้ำหอมของแม่, กลิ่นของหนังสือ, หญ้าที่เพิ่งตัดใหม่ๆ สิ่งเหล่านี้คือกลิ่นในความทรงจำด้านบวกของผม”
  • “เราเชื่อว่าถ้าคุณหลงใหลในสิ่งที่ทำและเชื่อมั่นในมันมากๆ มันจะมีคนที่สังเกตเห็นและชื่นชมในสิ่งนั้นเสมอ แค่คุณต้องอดทนและทำในสิ่งที่ตัวเองรักต่อไปเรื่อยๆ”

 

Le Labo กลายเป็นแบรนด์น้ำหอมคุณภาพดีและเจาะกลุ่มตลาดแบบ Niche ที่กลับแมสที่สุดในตลาด เพราะแม้ Le Labo จะเน้นภาพลักษณ์สุดเท่ ด้วยการผสมขายให้ลูกค้าขวดต่อขวด (พร้อมแพ็กเกจจิ้งขวดใสที่ติดฉลากสีขาวบ่งบอกส่วนผสมในฟอนต์พิมพ์ดีด และการ Personalize ติดชื่อของลูกค้าบนขวดทุกขวด เป็นเอกลักษณ์ที่ทุกคนจดจำได้) แถม Le Labo ยังไม่อาศัยการตลาดแบบใหญ่โตเหมือนแบรนด์ใหญ่แบรนด์อื่นๆ แต่กลับมีศิลปินและคนดังในวงการมากมายไม่ว่าจะเป็น เซเลนา โกเมซ, เอมิเลีย คลาร์ก, ไรอัน เรย์โนลด์ส ที่ออกตัวว่าใช้น้ำหอมจากแบรนด์นี้ และทำให้ทุกวันนี้ Le Labo กลายเป็นแบรนด์น้ำหอมสุด Niche ที่มีคนรู้จักมากมาย

 

THE STANDARD เดินทางไปสัมภาษณ์พิเศษ Edouard Roschi และ Fabrice Penot สองผู้ก่อตั้ง Le Labo ถึงที่มาของแบรนด์ และเบื้องหลังกลิ่นหอมๆ ที่พวกเขาบอกว่าเต็มไปด้วยความรู้สึกและจุดมุ่งหมายที่จะมอบความแตกต่างจากสิ่งที่มีอยู่แล้วในสังคม

 

 

เรารู้มาว่า Le Labo ไม่ใช่แบรนด์ที่ปล่อยน้ำหอมกลิ่นใหม่หลายๆ กลิ่นเพื่อเร่งทำการตลาด แต่กลับใช้เวลาถึง 1 ปีเต็มกว่าจะได้น้ำหอมกลิ่นใหม่แต่ละกลิ่น คุณช่วยเล่าถึงขั้นตอนในการสร้างสรรค์น้ำหอมกลิ่นใหม่ได้ไหม ทำไมมันถึงต้องใช้เวลาทั้งปีกว่าจะได้มา

Edouard Roschi: มันไม่มีกฎตายตัวเลยนะ บางทีมันก็ใช้เวลาหลายปีเหมือนกัน เราใช้เวลาส่วนใหญ่ในการสร้างสรรค์กลิ่นที่แทบจะไม่มีทางผลิตจริงได้แบบง่ายๆ เพราะว่ามันมาจากไอเดียที่ไม่สามารถกลั่นกรองให้ออกมาเป็นอะไรที่เหมาะสมกับการผลิตจริง เพราะมันทำยังไงก็ไม่มีทางได้จริงๆ สิ่งที่เราแชร์ให้กับลูกค้าอาจจะเป็นเพียง 10% ของสิ่งที่เราพยายามทำ มันใช้เวลานานมากที่จะสร้างสรรค์สิ่งเหล่านั้นให้สำเร็จ และเมื่อไรก็ตามที่คุณได้สิ่งที่สร้างความรู้สึกแตกต่างให้กับคุณ มันก็ต้องใช้เวลาทำให้จบ และทำให้มันดีขึ้นด้วยในทางเทคนิค 

 

วิธีที่เราใช้ในการตัดสินใจว่าน้ำหอมกลิ่นนั้นๆ เสร็จแล้ว คือมันต้องกระตุ้นอารมณ์บางอย่างในตัวคุณ จนทำให้คุณรู้สึกว่ากลิ่นนี้มันใช่ และมันเป็นสิ่งที่ควรจะเป็น หรือไม่ก็คุณต้องพยายามปรับมันไปเรื่อยๆ จนตระหนักได้ว่าสิ่งที่คุณพยายามปรับ พยายามพัฒนามาตลอด มันไม่ได้ทำให้คุณได้สิ่งที่คุณต้องการ หรือสิ่งที่ดีกว่าเลย คุณก็ต้องกลับไปเริ่มหนึ่งใหม่ กลับไปหาความรู้สึกตั้งต้นที่คุณคิดว่ามันดีที่สุด บางทีคุณรู้สึกว่าไปไกลเกินไปแล้ว และคุณต้องย้อนกลับไปหาขั้นตอนในช่วงเดือนสองเดือนก่อนหน้า และตัดสินใจว่านั่นอาจจะเป็นกลิ่นที่ดีที่สุดที่คุณต้องการผลิต 

 

มันเต็มไปด้วยการทดลองและความผิดพลาด และมันเต็มไปด้วยการถกเถียงพูดคุยกับนักปรุงน้ำหอม ซึ่งก็จะมีศัพท์ทางเทคนิคมากมาย และการปรับเข้าหากันที่ถูกต้อง รวมถึงการผสมผสานของความอิมแพ็กทางอารมณ์และประสิทธิภาพเชิงเทคนิค คุณอาจจะผลิตน้ำหอมที่มีคุณภาพและมีกลิ่นหอม หรือบางทีอาจจะได้แค่เรื่องราวของการได้รับกลิ่นที่ดี แต่กลิ่นไม่สามารถติดอยู่ทนได้เลยเพราะเหตุผลทางการเทคนิคก็ได้

 

น้ำหอมทุกกลิ่นที่เราสร้างต่างได้รับอิทธิพลมาจากสิ่งที่เราเจอในการใช้ชีวิตฐานะมนุษย์คนหนึ่ง

 

 

คุณเคยบอกไว้ว่าในน้ำหอมทุกๆ กลิ่นที่คุณสร้าง คุณได้ฝากตัวตนบางส่วนของคุณเองลงไปในขวดด้วย ทั้งจิตใจ ความสนุก และความเศร้า แล้วกลิ่นไหนของ Le Labo ที่คุณทั้งคู่ใส่ความเป็นตัวเองลงไปมากที่สุด

Edouard Roschi: น้ำหอมทุกกลิ่นที่เราสร้างต่างได้รับอิทธิพลมาจากสิ่งที่เราเจอในการใช้ชีวิตฐานะมนุษย์คนหนึ่ง แต่ผมไม่แน่ใจว่ามันมีประสบการณ์อย่างใดอย่างหนึ่งที่บ่งบอกได้ชัดเจนว่ามันคือสิ่งที่เราฝาก ‘ตัวตน’ ไว้ในขวดน้ำหอมนั้นๆ แต่มันคือการรวมกัน การผสมกันของความรู้สึกทั้งหมดที่เราเคยรู้สึก ตั้งแต่ความเศร้าไปจนถึงความสุข ความลำบากไปจนถึงการเฉลิมฉลอง มันคือการผสมรวมกันของสิ่งเหล่านี้ลงไปในขวดน้ำหอมทุกขวด 

 

น้ำหอมบางกลิ่นจบที่ความดาร์ก ความลึก แต่บางกลิ่นก็ได้รับแรงบันดาลใจจากโมเมนต์ที่มันแฮปปี้มากกว่า มันขึ้นอยู่กับว่าเรากำลังสร้างสรรค์อะไรอยู่ คู่หูของผม Fabrice และผมเองต่างเคยลำบาก เช่นเดียวกับผู้ที่ทำงานสร้างสรรค์ทุกคน ในการทำงานฝีมือขึ้นมาสักชิ้น Fabrice ลองเขียนหนังสือ ผมลองเล่นดนตรี แต่เราก็จบด้วยการใช้ศาสตร์การปรุงน้ำหอมเป็นหนทางในการบ่งบอกตัวเองและเล่าวิสัยทัศน์ของโลกและความงาม พวกเราต้องการสร้างความรู้สึก มันเป็นวิธีในการเชื่อมโยงกับผู้คนแบบที่เราไม่สามารถมองเห็นได้ แต่กลับทำให้พวกเขายิ้มได้ หรือแม้กระทั่งร้องไห้ได้ เมื่อไรก็ตามที่คุณสัมผัสกับความวิเศษในการสร้างอิทธิพลต่อชีวิตของคนได้ด้วยกลิ่นแล้ว มันจะเสพติดมากๆ แต่ถ้าจะให้เลือกแค่น้ำหอมเพียงกลิ่นเดียวที่เราใส่ความเป็นตัวเองลงไปมากที่สุด มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะตัดสินใจได้

 

 

แบรนด์ที่ยิ่งใหญ่แต่ละแบรนด์ยังคงอยู่ได้เพราะเหตุผลที่ยิ่งใหญ่เช่นเดียวกัน ไม่ว่าพวกเขาจะตั้งใจแก้ไขปัญหาหรือเปลี่ยนวิธีในการใช้ชีวิตแบบเดิมๆ ก็ตาม แล้วพวกคุณล่ะ มีปัญหาตั้งต้นในใจที่อยากจะแก้ไขเพื่อลูกค้าหรือเปล่า

Fabrice Penot: ในช่วงแรกเริ่ม สิ่งที่เกิดขึ้นในใจพวกเรามันค่อนข้างเรียบง่าย ความตั้งใจเดิมของเราค่อนข้างเห็นแก่ตัวเหมือนกัน นั่นคือการปลดแอกตัวเองจากความสำเร็จในวัฒนธรรมองค์กรที่แสนน่าเบื่อที่เราคิดว่าจะต้องเจอ 

 

อีกเหตุผลคือเราต้องการให้ชีวิตของผู้คนสวยงามขึ้น ด้วยผลงานที่ทรงพลังและศิลปะที่ถูกเข้าใจผิดมาตลอด เราได้เรียนรู้จากกลิ่นเหล่านั้นที่ได้สร้างผลกระทบยิ่งใหญ่ ให้ความรู้สึกของความงามที่เราพบเจอได้ในชีวิตจริง

 

เท่าที่ฟัง พวกคุณดูให้น้ำหนักกับ ‘ความรู้สึก’ ในการสร้างสรรค์น้ำหอมสักกลิ่นมาก คุณพอจะจำได้ไหมว่ากลิ่นอะไรที่ทำให้คุณรู้สึกพึงพอใจกลิ่นแรกในชีวิต

Fabrice Penot: ผมตกหลุมรักกับกลิ่นต่างๆ ตั้งแต่อายุน้อยๆ โดยที่ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ ต้นมะเดื่อฝรั่งหน้าบ้านของคุณยาย, น้ำหอมของแม่, กลิ่นของหนังสือ, หญ้าที่เพิ่งตัดใหม่ๆ สิ่งเหล่านี้คือกลิ่นในความทรงจำด้านบวกของผม

 

Le Labo ก่อตั้งในปี 2006 ซึ่งก็ผ่านมา 13 ปีแล้ว Le Labo ในปี 2019 เป็นแบบเดียวกับที่คุณเคยคาดหวังไว้ในตอนแรกเริ่มหรือเปล่า

Fabrice Penot: โลกเปลี่ยนไปมากในระยะเวลาตลอด 13 ปีที่ผ่านมา แต่ Le Labo เหมือนเดิม กล่องบรรจุภัณฑ์ของเราเหมือนเดิม ป้ายเหมือนเดิม งานฝีมือของเราเหมือนเดิม และความตั้งใจของเราก็เหมือนเดิม มีแค่เพียงการตกแต่งในร้านที่เปลี่ยนไปเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

 

อะไรทำให้ Le Labo ตัดสินใจสร้างน้ำหอมกลิ่นพิเศษให้กับเมืองต่างๆ ในแต่ละประเทศ

Fabrice Penot: เราสร้าง Le Labo ด้วยการเปิดห้องแล็บเล็กๆ ของเราบนถนน Elizabeth Street ในนิวยอร์ก เพราะเราต้องการที่จะต่อต้านกระแสของการคล้อยตามกันในสังคมที่มากขึ้นเรื่อยๆ ทุกคนทำอะไรเหมือนกันไปหมดในสังคม เมื่อไรก็ตามที่เราเดินทางไปที่ต่างๆ เราค่อนข้างเบื่อที่ต้องเจอแต่ร้านเดิมๆ ในลอสแอนเจลิส, โตเกียว, ปารีส (ถึงแม้ว่ามันจะมีสถานที่ทางวัฒนธรรมอีกหลายที่ให้ค้นพบนอกจากการช้อปปิ้งก็เถอะ) เราจึงต้องการที่จะเพิ่มประสบการณ์ทางวัฒนธรรมเข้าไปแบบที่คุณจะไม่มีทางได้พบเจอที่ไหน และพอเรามีห้องแล็บของตัวเองในเมืองหลวงสำคัญเมืองหนึ่งของโลก ความเสี่ยงคือการที่เราจะกลายเป็นเหมือนกับสิ่งที่เราอยากจะต่อต้านในตอนแรก 

 

แล้วเราจะต่อสู้กับมันอย่างไร ก็ด้วยการที่เราต้องตื่นตัวกับมัน และรู้ตัวในทุกๆ วัน ทำให้ตัวเราเองมั่นใจว่าประสบการณ์ที่ลูกค้าจะได้รับมันจะต้องไม่เหมือนกับที่อื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นประสบการณ์จากหน้าร้าน หรือประสบการณ์ที่คุณได้รับจากน้ำหอมของเรา และนั่นคือเหตุผลที่เราตัดสินใจสร้าง City Exclusives ที่น้ำหอมของเราจะเชิดชูเมืองต่างๆ ที่เรามีสาขาอยู่ และจะไม่มีวางขายที่อื่นอีกด้วย (ยกเว้นในเดือนกันยายนที่คอลเล็กชันนี้จะวางขายทุกๆ ร้านรอบโลก) ซึ่งมันท้าทายผลกำไรทางธุรกิจสำหรับเรา แต่ก็ตอบโจทย์ความตั้งใจแรกเริ่มของเราเช่นกัน

 

คุณไม่ทำการโฆษณาแบรนด์สักเท่าไร แล้วอะไรคือหัวใจในการทำให้ผู้คนตกหลุมรัก Le Labo ได้อย่างธรรมชาติ และคุณสร้างความสัมพันธ์ระหว่างแบรนด์กับลูกค้าอย่างไร

Fabrice Penot: เราเชื่อว่าถ้าคุณหลงใหลในสิ่งที่ทำและเชื่อมั่นมากๆ มันจะมีคนที่สังเกตเห็นและชื่นชมในสิ่งนั้นเสมอ แค่คุณต้องอดทนและทำในสิ่งที่ตัวเองรักต่อไปเรื่อยๆ คล้ายๆ กับสิ่งที่คุณมักทำในความสัมพันธ์ คอยดูมันเติบโต ยอมรับในบางครั้งที่คุณต้องเรียนรู้จากความผิดพลาด และโตไปกับมัน โฟกัสในสิ่งที่เป็น Comfort Zone ของคุณ และหมั่นเติมสิ่งที่น่าสนใจเข้าไปในเรื่องราวที่คุณพยายามเล่า แล้วผู้คนจะยอมรับในสิ่งที่คุณทำ จากนั้นพวกเขาก็จะบอกกันปากต่อปาก คุณไม่ต้องพยายามบังคับใคร หรือไปบอกพวกเขาว่าใช้น้ำหอมกลิ่นนี้สิแล้วคุณจะดูเหมือนชาร์ลิซ เธอรอน อะไรแบบนั้นเลย 

 

 

ใครคือลูกค้าในอุดมคติของคุณ

Fabrice Penot: คนที่รู้สึกและอินไปกับพลังวิเศษล่องหนที่เราพยายามส่งมอบให้ คนที่ไม่สนใจเสียงรอบข้าง ไม่สนใจความหรูหรา สิ่งแวววาว แต่ใส่ใจในความหมาย ความรู้สึก และใส่ใจในคุณค่าของงานฝีมือที่แท้จริง

 

เราย้อนกลับมาคุยเรื่องส่วนตัวของคุณทั้งสองกันบ้าง วันแรกที่คุณทั้งคู่ได้เจอกันเป็นอย่างไรบ้าง และอะไรคืออย่างแรกที่คุณสังเกตในตัวของอีกฝ่าย

Edouard Roschi: เราเจอกันครั้งแรกที่ Giorgio Armani Fragrances ในปารีส เราทำงานแบบเดียวให้กับแบรนด์เดียวกัน แต่คนละส่วน Fabrice ทำงานให้กับ Giorgio Armani Fragrances และผมทำงานให้กับ Emporio Armani Fragrances ซึ่งเป็นเหมือนแบรนด์ลูกที่เด็กลงมา หลังจากทำน้ำหอมกันได้ 3-4 ปี เราบินไปมิลานและไปพบกับจิออร์จิโอ อาร์มานี และน้ำหอมของเราก็ผ่าน พวกเราจึงกลายมาเป็นเพื่อนสนิทกัน และก็เริ่มบ่นเกี่ยวกับงานที่ตัวเองทำอยู่กันทั้งคู่ 

 

ตั้งแต่โมเมนต์นั้นเป็นต้นมา เราเริ่มมีวิสัยทัศน์ที่ชัดเจนขึ้นว่า Le Labo จะออกมาเป็นอย่างไร และใช้เวลาประมาณ 1 ปี ซึ่งก็มีการเดินทางเข้ามาเกี่ยวเยอะมาก เพราะตอนนั้น Fabrice อยู่นิวยอร์ก และผมอยู่ปารีส มันจึงเป็นการทำงานแบบไปกลับอยู่ตลอด เราทั้งคู่อยากทำอะไรที่มีความหมายสำหรับเรา มีความตั้งใจที่ถูกต้อง ซึ่งมันก็ตรงกับความรู้สึกของเราตอนนั้น และก็ทำให้เราแตกต่าง นั่นก็เป็นจุดเริ่มต้นของแรงผลักดันเชิงสร้างสรรค์ และมันก็ใช้เวลาหลังจากนั้นในการเปลี่ยนแรงผลักดันนั้นให้กลายเป็นความจริง ผ่านวิธีการมากมายในการสื่อสารของแบรนด์ และใช้เวลาเป็นปีๆ ซึ่งเราก็ผ่านขาขึ้น ขาลง การเปลี่ยนแปลง แก้ไข คุยกับคนรู้จักมากมาย และตระหนักได้ว่าเรากำลังเดินทางไปผิดทิศ มันใช้เวลาสักพัก 

 

การทำเรื่องที่เรียบง่ายนี่แหละมันอาจจะยากที่สุด แต่เมื่อไรก็ตามที่เรามาถึงจุดที่เรียบง่ายแบบที่เราต้องการแล้ว ทุกอย่างก็เมกเซนส์ขึ้นมา เมื่อคุณเข้าถึงจุดขับเคลื่อนพื้นฐานของความงามในเรื่องราวของคุณ ทุกการตัดสินใจมันก็กลายเป็นเรื่องง่าย แต่นั่นก็ตามมาด้วยการทดลอง การยอมเจ็บปวดกว่าจะไปถึงจุดนั้นได้

 

 

ทำงานเชิงครีเอทีฟที่ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์ และโยนไอเดียกับพาร์ตเนอร์อีกคนหนึ่งดูจะเป็นเรื่องยากและอาจจะมีความเห็นที่ไม่ตรงกัน คุณสองคนมีวิธีการทำงานด้วยกันอย่างไร และคุณคิดว่าอะไรคือข้อดีของอีกฝ่าย

Edouard Roschi: ถ้าให้ตอบแบบ Business School คงต้องตอบว่าพาร์ตเนอร์ควรจะมีความแตกต่างกันเพื่อให้มันสมดุล แต่ Fabrice กับผมไม่ได้ต่างกันขนาดนั้น ผมว่าในตอนท้ายสุดคือเราต้องเคารพความเห็นของกันและกัน และเชื่อใจกันและกัน มันคือความรู้สึกของการมีอิสระที่มาพร้อมกับการเคารพกัน เพราะคุณจะกล้าแสดงความเห็นและพูดอะไรก็ได้ คุณไม่ต้องพยายามพิสูจน์ตัวเองให้กับอีกฝ่ายรู้ เพราะอีกฝ่ายเชื่อในตัวคุณและเคารพในสิ่งที่คุณทำให้กับแบรนด์ 

 

ซึ่งมันสำคัญมาก เพราะเมื่อไรก็ตามที่คุณเจออุปสรรคหรือมีความเห็นที่ต่างกัน คุณมั่นใจได้ว่าจะหาทางออกได้ เพราะท้ายที่สุดคุณจะรู้ว่าอีกฝ่ายหนึ่งต้องมีเหตุผลที่ดีสนับสนุนการที่เขาเห็นต่าง และมันง่ายขึ้นสำหรับคุณที่จะเปลี่ยนใจ และไม่ติดอยู่กับอีโก้ของตัวเอง หรือติดอยู่กับที่ที่คุณรู้สึกว่าไม่อยากจะเปลี่ยนใจอะไรง่ายๆ พูดง่ายๆคือมันคือความเชื่อใจและเคารพกันและกัน

 

คุยกันเรื่องน้ำหอมมาขนาดนี้แล้ว คุณมีกลิ่นน้ำหอมประจำตัวของตัวเองกันบ้างหรือเปล่า

Fabrice Penot: ผมเป็นอีกคนที่ตกเป็นเหยื่อของ Santal 33 มันไม่มีทางเลี่ยงได้เลย เชื่อผม ผมลองมาแล้ว

 

เราหลงรักหน้าร้าน Le Labo ใน Williamsburg ของคุณมาก เราจะมีโอกาสได้เห็นช้อปสวยๆ แบบนี้ในกรุงเทพฯ บ้างไหม

ทำไมจะไม่ล่ะ! 

 

 

 

พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า

FYI
  • หน้าร้าน Le Labo อาจจะยังไม่มีแบบเต็มรูปแบบในประเทศไทย แต่ถ้าใครรู้สึกอินกับแพสชันของผู้ก่อตั้งแบรนด์ทั้งสอง และอยากลองสัมผัสกลิ่นหอมของ ‘ความรู้สึก’ เวอร์ชันบรรจุขวดจาก Le Labo ก็สามารถแวะไปที่ King Power Duty Free สาขารางน้ำได้เลย 
  • LOADING...

READ MORE





Latest Stories