Lawson108 เปิดโมเดลแฟลกชิปสโตร์ไทย งัดเมนูอาหารญี่ปุ่นทำสดพร้อมเสิร์ฟ ราคาเริ่มต้น 40 บาท ชิงลูกค้าคนไทย แม้เป็นเรื่องยากที่จะเอาชนะ 7-Eleven ทั้งในแง่ของสาขาหรือยอดขาย ดังนั้นการเพิ่มความสามารถในการทำกำไรจึงเป็นสิ่งที่ต้องเร่งทำ
วันนี้ตลาดร้านสะดวกซื้อในไทยแข่งขันกันอย่างดุเดือด ทำให้ Saha Lawson ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนของเครือสหพัฒน์และเครือร้านสะดวกซื้อจากญี่ปุ่นพยายามสร้างความแตกต่างด้วยการเปิดตัวร้านแฟลกชิปสโตร์ใหม่ในช่วงปลายปี 2024
โดยร้านโมเดลนี้จะขายสินค้าคล้ายกับสาขาทั่วไป แต่สิ่งที่เพิ่มเข้ามาคือเมนูอาหารญี่ปุ่น ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์ เข้ามาดึงลูกค้าคนไทยที่ชื่นชอบอาหารญี่ปุ่น ชูจุดขายเรื่องของการทำสดพร้อมกินและมีราคาเข้าถึงง่าย เริ่มต้น 40 บาท โดยมีเมนูหลากหลาย เช่น ข้าวปั้น ซูชิ หมูทอดคัตสึด้ง อุด้ง และไก่ทอด L Chiki ซึ่งบริษัทมั่นใจว่าจะช่วยยกระดับธุรกิจให้มีความโดดเด่นและแข็งแกร่งขึ้น รวมถึงช่วยผลักดันทั้งยอดขายและกำไร
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
- ร้านสะดวกซื้อยักษ์ใหญ่ 7-Eleven และ Lawson แข่งกันเปิดสาขากว่า 10,000 แห่งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
- ตลาดแดนมังกรอันหอมหวาน! ‘Lawson’ ตั้งเป้าขยายสาขาในจีนให้ได้ 10,000 แห่ง ภายในปี 2025
- Lawson ในญี่ปุ่นเปิด ‘Lawson Go’ ร้านสะดวกซื้อสายพันธุ์ใหม่ที่ ‘ไม่มีพนักงานคิดเงิน’ …
บริษัทระบุว่า หลังจากเปิดสาขาแฟลกชิปสโตร์ใหม่ลูกค้าให้ความสนใจอย่างมาก จนทำให้ยอดการใช้จ่ายเฉลี่ยต่อบิลสูงกว่าสาขาทั่วไป ที่เห็นได้ชัดคือกลุ่มลูกค้าที่เคยเข้ามาซื้อโอเด้งอยู่บ่อยครั้งก็ซื้อข้าวหมูทอดคัตสึด้งควบคู่กันไปด้วย
“เราเข้ามาซื้ออาหารญี่ปุ่นในร้าน Lawson108 เพราะ7-Eleven ไม่มีขาย และสิ่งที่น่าสนใจของร้านแฟลกชิปสโตร์ใหม่คือมีสินค้าญี่ปุ่นมากกว่าสาขาปกติถึง 4 เท่า และมีผลิตภัณฑ์หลากหลายประเภท ทั้งขนม บะหมี่ถ้วย และเครื่องสำอาง ทั้งหมดล้วนเป็นสินค้าขายดีในร้านในประเทศญี่ปุ่น” ลูกค้าอายุ 30 ปีรายหนึ่งกล่าว
คิมิฮิโกะ ชินากาว่า กรรมการผู้จัดการของ Saha Lawson ย้ำว่า จากนี้เรามีแผนจะนำสินค้าที่ได้รับความนิยมจากร้านแฟลกชิป เช่น ไก่ทอด L Chiki ไปขายที่สาขาอื่นด้วย และจะมีการพัฒนาเมนูใหม่ๆ เข้ามาเป็นทางเลือกให้ผู้บริโภคชาวไทยที่ชื่นชอบอาหารและวัฒนธรรมญี่ปุ่น
ด้าน บุณยสิทธิ์ โชควัฒนา ประธานเครือสหพัฒน์ กล่าวว่า ความสำเร็จของร้านแฟลกชิปสโตร์ทำให้บริษัทเตรียมขยายสาขาไปในแหล่งท่องเที่ยวและคอนโดมิเนียม โดยใช้อาหารญี่ปุ่นทำสดเป็นจุดขาย พร้อมนำเทคโนโลยีเข้ามาให้ลูกค้าคิดเงินด้วยตัวเอง ซึ่งนอกจากจะเพิ่มความสะดวกสบายแล้ว ยังช่วยลดต้นทุนของบริษัทได้อีกด้วย
ทั้งนี้ ปัจจุบันร้านสะดวกซื้อ Lawson108 ตั้งแต่เข้ามาร่วมทุนในประเทศไทยเมื่อปี 2013 ปัจจุบันมีมากกว่า 200 สาขา แต่ยังถือว่าน้อยเมื่อเทียบกับสาขาของยักษ์สะดวกซื้ออย่าง 7-Eleven ของเครือเจริญโภคภัณฑ์ (CP) ซึ่งเป็นกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ที่สุดของประเทศและถือส่วนแบ่งตลาดร้านสะดวกซื้อไปแล้ว 70%
ประธานเครือสหพัฒน์ยังเปรียบเทียบกลยุทธ์ของ 7-Eleven ว่าเหมือนกับการเล่นเกมโกะ ซึ่งในเกมนี้ผู้เล่นพยายามครอบครองพื้นที่ให้มากกว่าคู่แข่ง หากสังเกตจะเห็นว่าร้าน 7-Eleven จะเข้าไปเปิดในทุกๆ ที่ที่มีร้าน Lawson108 หรือร้านสะดวกซื้อแบรนด์อื่นๆ ที่เปิดอยู่ก่อนแล้ว ซึ่งมีส่วนให้ Lawson108 ต้องหาทำเลที่ต่างออกไป เช่น ตามแนวรถไฟฟ้า สนามบิน และห้างสรรพสินค้า
เช่นเดียวกับกลุ่มเซ็นทรัล เจ้าของร้านสะดวกซื้อภายใต้แบรนด์ Tops Daily ที่มีสาขา 500 แห่ง ก็เผชิญการแข่งขันสูงเช่นกัน แต่แบรนด์พยายามใช้จุดแข็งของเซ็นทรัลในฐานะเจ้าของห้างสรรพสินค้าสร้างความแตกต่างจาก 7-Eleven ด้วยการเสนอสินค้าระดับพรีเมียม เช่น ผลไม้และไวน์นำเข้าจากต่างประเทศ
“แม้จะเป็นเรื่องยากที่เราจะเอาชนะ 7-Eleven ทั้งในเรื่องของสาขาหรือยอดขาย ดังนั้นเราจึงต้องเพิ่มความสามารถในการทำกำไรด้วยการเพิ่มจำนวนลูกค้าประจำให้ได้มากที่สุด” ยูจิ คาโตะ จาก Nomura Research Institute Thailand กล่าว
ข้อมูลจาก Euromonitor ระบุว่า ในปี 2023 ประเทศไทยมีร้านสะดวกซื้อ 260 สาขาต่อจำนวนประชากรทุกๆ 1 ล้านคน โดยสัดส่วนดังกล่าวเป็นเพียงครึ่งหนึ่งของร้านสะดวกซื้อในญี่ปุ่น 496 แห่งต่อจำนวนประชากร 1 ล้านคน แต่ในไทยถือว่ามากที่สุดใน 6 ประเทศในอาเซียน
ภาพ: WindAwake / Shutterstock
อ้างอิง: