โควิด-19 สายพันธุ์อินเดีย มีในระบบ Pango lineage ว่า B.1.617 หลายคนอาจเคยได้ยินว่าเป็น ‘การกลายพันธุ์คู่’ (Double Mutant) เพราะมีการกลายพันธุ์ที่ตำแหน่ง L452R และ E484Q บนสไปค์ (Spike) ที่ยื่นออกมาจากไวรัส ค้นพบครั้งแรกในประเทศอินเดีย เมื่อเดือนตุลาคม 2563 จนกระทั่งเป็นสายพันธุ์ที่ทำให้กราฟจำนวนผู้ป่วยและผู้เสียชีวิตในอินเดียพุ่งขึ้นราวกับปล่อยจรวด
แบ่งออกเป็น 3 สายพันธุ์ย่อย ได้แก่ B.1.617.1, B.1.617.2 และ B.1.617.3
การแพร่กระจาย: สายพันธุ์ย่อยที่น่ากังวลมากที่สุดคือ B.1.617.2 เพราะมีความสามารถในการแพร่กระจายอย่างน้อยเทียบเท่าสายพันธุ์อังกฤษ (เพิ่มขึ้น 50%) และเมื่อสายพันธุ์นี้เข้าไปในสหราชอาณาจักรก็ระบาดอย่างรวดเร็ว ในขณะที่สายพันธุ์แอฟริกาใต้ (B.1.351) และสายพันธุ์บราซิล (P.1) ที่อาจเรียกได้ว่าดื้อวัคซีนยังระบาดอยู่ในวงจำกัด
วันที่ 6 พฤษภาคม 2564 สหราชอาณาจักรประกาศยกระดับสายพันธุ์ B.1.616.2 จากสายพันธุ์ที่สนใจ (Variant of Interest: VOI) เป็นสายพันธุ์ที่กังวล (Variant of Concern: VOC) เช่นเดียวกันกับองค์การอนามัยโลกที่เพิ่งประกาศเมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม 2564 โดยจากการคาดการณ์ในสหราชอาณาจักรพบว่าสายพันธุ์ B.1.617.2 น่าจะระบาดจนชนะสายพันธ์อังกฤษได้
ความรุนแรง: ยังไม่มีข้อมูล แต่อัตราการเสียชีวิตในอินเดียเพิ่มสูงขึ้นจากการระบาดของสายพันธุ์ใหม่ ซึ่งอาจเกิดจากจำนวนผู้ป่วยที่เพิ่มขึ้น (จากความสามารถในการแพร่กระจายที่เพิ่มขึ้น) จนระบบสาธารณสุขไม่สามารถรองรับได้ ส่วนในสหราชอาณาจักรยังไม่มีรายงานผู้เสียชีวิตจากทั้ง 3 สายพันธุ์ย่อย แต่หน่วยงานด้านสาธารณสุขอังกฤษ (PHE) ระบุว่า “ยังเร็วเกินไปที่จะประเมินความรุนแรง”
ความสามารถของภูมิคุ้มกันในการยับยั้งไวรัส: ยังไม่มีผลการศึกษาในสายพันธุ์ B.1.616.2 แต่อาจเทียบเคียงได้จากสายพันธุ์ B.1.617.1 กล่าวคือ
- น้ำเหลืองจากผู้ที่หายจากโรคในการยับยั้งสายพันธุ์ B.1.617.1 ลดลง 2 เท่าเมื่อเทียบกับสายพันธุ์ดั้งเดิม ในขณะที่สายพันธุ์แอฟริกาใต้ลดลง 6 เท่า
- น้ำเหลืองจากผู้ที่ได้รับวัคซีน Pfizer-BioNTech ลดลง 3 เท่า ในขณะที่สายพันธุ์แอฟริกาใต้ลดลง 11 เท่า
- น้ำเหลืองจากผู้ที่ได้รับวัคซีน Bharat Biotech ซึ่งเป็นวัคซีนชนิดเชื้อตายสามารถยับยั้งไวรัสสายพันธุ์ B.1.616.1 ได้ และอีกงานวิจัยหนึ่งพบว่าน้ำเหลืองจากผู้ที่เคยติดเชื้อสายพันธุ์อังกฤษ สามารถยับยั้งได้เท่ากับน้ำเหลืองจากผู้ที่ได้รับวัคซีน
โดยสรุปภูมิคุ้มกันของผู้ที่หายป่วยหรือวัคซีนมีความสามารถในการยับยั้งลดลง แต่น่าจะยังมีประสิทธิภาพอยู่ แต่งานวิจัยทั้งหมดนี้ยังเป็นการศึกษาในห้องปฏิบัติการ จึงต้องติดตามผลการศึกษาประสิทธิภาพของวัคซีนในผู้ที่ได้รับวัคซีนจริงต่อไป ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม บอริส จอห์นสัน นายกรัฐมนตรีอังกฤษ (ซึ่งใช้วัคซีน AstraZeneca เป็นวัคซีนหลัก) แถลงต่อรัฐสภาว่า
“เรามีความมั่นใจเพิ่มขึ้นว่าวัคซีนมีประสิทธิภาพในการป้องกันทุกสายพันธุ์ รวมทั้งสายพันธุ์อินเดีย”
ปัจจุบันมีรายงานการพบสายพันธุ์ B.1.617.2 (แต่ไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นการระบาดในชุมชนหรือไม่) ทั้งหมด 48 ประเทศ เช่น สหราชอาณาจักร เยอรมนี ไอร์แลนด์ ฝรั่งเศส เบลเยียม สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น สิงคโปร์ ออสเตรเลีย สำหรับประเทศไทยเป็นการตรวจพบที่แคมป์คนงานหลักสี่ จำนวน 15 ตัวอย่างจากทั้งหมด 61 ตัวอย่าง (ประมาณ 25%) ส่วนใหญ่อาการเล็กน้อย
พิสูจน์อักษร: ลักษณ์นารา พักตร์เพียงจันทร์
อ้างอิง:
- https://www.ecdc.europa.eu/en/publications-data/threat-assessment-emergence-sars-cov-2-b1617-variants
- https://www.gov.uk/government/publications/covid-19-variants-genomically-confirmed-case-numbers/variants-distribution-of-cases-data
- https://www.cdc.gov/coronavirus/2019-ncov/cases-updates/variant-surveillance/variant-info.html
- https://www.cdc.gov/vaccines/acip/meetings/downloads/slides-2021-05-12/10-COVID-Scobie-508.pdf
- https://www.reuters.com/world/uk/indian-variants-transmissibility-edge-might-be-smaller-than-feared-uk-expert-2021-05-19/
- https://cov-lineages.org/global_report_B.1.617.2.html