ธนาคารกรุงไทยประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้สูงสุด 0.25% หนุนเศรษฐกิจไทยให้เดินหน้าต่อ พร้อมช่วยเหลือลูกค้า ลดภาระทางการเงิน โดยจะมีผล 3 มีนาคมนี้
ผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย กล่าวว่า ท่ามกลางความท้าทายรอบด้าน โดยเฉพาะนโยบายของประเทศเศรษฐกิจหลักของโลก ตามด้วยปัญหาเชิงโครงสร้างจากเศรษฐกิจนอกระบบที่มีขนาดใหญ่ และหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง
ธนาคารกรุงไทย ได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลงสูงสุด 0.25% สอดคล้องกับการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ที่ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% โดยจะมีผลในวันที่ 3 มีนาคม 2568
– อัตราดอกเบี้ยสำหรับลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี ประเภทเงินเบิกเกินบัญชี (MOR) ปรับลดลงจากปัจจุบัน 7.270% ต่อปี เป็น 7.020 % ต่อปี
– อัตราดอกเบี้ยเงินลูกค้ารายใหญ่ชั้นดีประเภทเงินกู้แบบมีระยะเวลา (MLR) ปรับลดลงจากปัจจุบัน 6.925% ต่อปี เป็น 6.825 % ต่อปี
– อัตราดอกเบี้ยสำหรับลูกค้ารายย่อยชั้นดี (MRR) ปรับลดลงจากปัจจุบัน 7.445% ต่อปี เป็น 7.345 % ต่อปี
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
- เปิดแถลงการณ์ กนง. ทำไมตัดสินใจลดดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% เหลือ 2.00% ต่อปี
- ธนาคารไทยพาณิชย์ปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้สูงสุด 0.25% ให้สอดคล้องกับทิศทางการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย มีผลวันที่ 3 มี.ค. นี้
- แบงก์ชาติยืนยัน! ลดดอกเบี้ยครั้งนี้ยังไม่ใช่ Easing Cycle ย้ำ ตัดสินใจจากแนวโน้มเศรษฐกิจที่ ‘อ่อนแอลง’ เป็นหลัก ไม่ใช่แรงกดดันทางการเมือง
การปรับลดดอกเบี้ยถือเป็นการสนับสนุนนโยบายภาครัฐในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้เดินหน้าต่อ รวมถึงช่วยเหลือลูกค้าลดภาระทางการเงินในช่วงที่เศรษฐกิจยังฟื้นตัวไม่เต็มที่
ที่สำคัญยังช่วยให้ภาวะการเงินสอดคล้องกับแนวโน้มเศรษฐกิจ เงินเฟ้อ เสถียรภาพระบบการเงินและช่วยลดความตึงตัวของภาวะการเงินโดยไม่กระทบ ต่อความเสี่ยงด้านเสถียรภาพระบบการเงินในระยะยาว และสามารถรองรับความไม่แน่นอนในระยะข้างหน้าได้อย่างเหมาะสม
ทั้งนี้ ธนาคารกรุงไทย ได้ให้ความสำคัญกับดูแลช่วยเหลือลูกค้าทุกกลุ่มอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะครัวเรือนกลุ่มเปราะบาง ที่มีภาระหนี้สูงและรายได้ฟื้นตัวไม่เต็มที่
รวมถึงผู้ประกอบการ SMEs ที่เผชิญปัญหาการแข่งขันรุนแรงจากสินค้านำเข้า ซึ่งเป็นผลกระทบของนโยบายการค้าของประเทศเศรษฐกิจหลัก ผ่านมาตรการ ทางการเงิน รวมถึงสนับสนุนความร่วมมือกับทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐและเอกชน ให้มีมาตรการเพิ่มเติมในการเพิ่มรายได้ให้ภาระครัวเรือน และเพิ่มขีดความสามารถให้กับผู้ประกอบการอย่างยั่งยืน