×

รู้จักกับ ก้อง Hive Salon แฮร์สไตลิสต์ที่อาวุธลับไม่ได้มีแค่กรรไกร [Advertorial]

17.02.2018
  • LOADING...

HIGHLIGHTS

9 Mins. Read
  • ก้องเริ่มต้นจากการทำงานเป็นพนักงานประจำสายธุรกิจ พร้อมๆ กับเปิดร้านตัดผมที่บ้านหลังเลิกงานทุกวันจนถึง 4 ทุ่ม
  • สิ่งที่ก้องให้ความสำคัญเป็นพิเศษในการทำผมคือการใส่ใจในทุกๆ รายละเอียดของลูกค้าทุกๆ คน เพื่อสร้างสรรค์ทรงผมที่เหมาะสมที่สุดให้กับลูกค้าคนนั้น
  • ปัจจัยสำคัญสู่การประสบความสำเร็จไม่ว่าจะอาชีพใดก็ตามของก้อง อยู่ที่การเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ตลอดเวลาและไม่หยุดที่จะพัฒนาตัวเอง

ถ้าคุณเป็นแฟชั่นนิสตาที่สนใจเรื่องความสวยงาม โดยเฉพาะทรงผมสุดเก๋ของเหล่าศิลปินดาราและเซเลบริตี้ทั่วฟ้าเมืองไทย แน่นอนว่าคุณน่าจะเคยสะดุดตากับลุคสวย หล่อ เปรี้ยว เท่ ของ ชมพู่ อารยา, หมาก ปริญ, เด็กๆ จากซีรีส์ ฮอร์โมนส์ วัยว้าวุ่น ฯลฯ ที่ทั้งหมดล้วนผ่านฝีมือและคมกรรไกรของ กฤษฏิ์ จิระเกียรติวัฒนา หรือที่คุ้นกันดีในชื่อ ก้อง Hive Salon ช่างตัดผมแนวหน้าของเมืองไทย ที่หลายคนหวังเอาไว้ว่าอยากให้เขามาสร้างงานศิลปะให้กับทรงผมของตัวเองให้ได้สักครั้งในชีวิต

 

แต่กว่าจะก้าวขึ้นมาเป็นช่างภาพตัดผมที่ประสบความสำเร็จแบบทุกวันนี้ได้ น้อยคนที่จะรู้ว่าเขาต้องฝ่าฟันมาด้วยแพสชัน ความรัก และความตั้งใจของตัวเองแบบร้อยเปอร์เซ็นต์

 

เขาคือตัวอย่างของคนรุ่นใหม่ที่ไม่เคยคิดที่จะหยุดพัฒนาตัวเอง และรู้จักใช้เทคโนโลยีที่ตอบโจทย์คนทำงานอย่างเขาได้อย่างครบวงจร ทุกวันนี้เขายังต้องเรียนรู้และหาสิ่งใหม่ๆ มาเป็นอินพุตเพื่อสร้างผลงานที่ดีขึ้นไปเรื่อยๆ อยู่ตลอดเวลา

 

และนั่นคือปัจจัยสำคัญที่สุด ที่ทำให้จากเด็กวัยรุ่นที่โดนคุณพ่อดุเพราะแอบเอาสเปรย์มาฉีดสีผม กลายเป็นช่างตัดผมที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในเวลานี้

 

 

จุดเปลี่ยนจากพนักงานออฟฟิศ สู่อาชีพที่ไม่ใช่การทำงาน

ตอนแรกที่เรียนจบกลับมา ถึงจะเรียนตัดผมมา แต่ก็ยังมีความกล้าๆ กลัวๆ ที่จะเปิดร้านตัดผมเต็มตัว แล้วมีข้อเสนอมาจากบริษัทแห่งหนึ่ง คิดว่าเป็นงานที่มั่นคง มีอนาคตสามารถต่อยอดได้ ก็เลยเข้าไปทำแบบเป็นพนักงานออฟฟิศ เริ่มงาน 9 โมงเช้าถึง 5 โมงเย็น ตอนเย็นค่อยกลับมาทำร้านตัดผมที่บ้านตั้งแต่ 6 โมงถึง 4 ทุ่ม ถ้าเป็นวันเสาร์อาทิตย์ก็ทำเต็มวัน ซึ่งพอไปถึงจุดหนึ่งกลายเป็นว่ารายได้จากการทำผมมากกว่างานที่ทำประจำอยู่ จนถึงจุดที่คิดว่าเราต้องโตขึ้น เลยคิดว่าถึงเวลาแล้วที่เราจะทำในสิ่งที่เรารักแบบเต็มตัว

 

ถือว่าเป็นการตัดสินใจครั้งใหญ่ที่สุดในชีวิตเลยเหมือนกัน จุดเปลี่ยนจริงๆ คือวันที่ไปปรึกษาคุณพ่อ แล้วคุณพ่อบอกว่าไม่ต้องกลัวตรงนั้น ถ้าเราทำอาชีพอะไรแล้วให้ความรู้สึกว่านั่นไม่ใช่การทำงาน แต่เป็นสิ่งที่เราทำแล้วมีความสุข เราสนุก เราขยันตั้งใจทำงานเต็มที่ เราจะไม่มีวันล้มเหลวและประสบความสำเร็จได้แน่นอน

 

คุณพ่อผมเป็นมนุษย์ที่ไม่เคยเอ่ยปากชม ตั้งแต่เกิดมาจนตอนนี้อายุ 35 ปี ผมยังไม่เคยได้ยินคำชมจากเขาเลยแม้แต่ครั้งเดียว แต่ถ้าถูกใจ ภูมิใจ เขาจะแสดงออกด้วยการไม่บ่น แค่นั้นพอแล้ว (หัวเราะ) แต่เขาจะไปชมเราให้คนอื่นฟังนะ แล้วคนอื่นค่อยมาบอกเราอีกทีว่าคุณพ่อบอกว่าอย่างนู้นอย่างนี้ แต่กับเราเขาไม่เคยชมต่อหน้าเลย

 

ความสนุกอยู่ในทุกงาน ความทรมานก็เช่นกัน

ตอนเป็นพนักงานออฟฟิศ ผมสนุกกับบางเรื่องและทรมานในบางเรื่อง มันสนุกตรงที่ผมได้คลุกคลีกับงานแฟชั่นที่ชอบเหมือนกัน ผมชอบจัดร้าน ผมชอบเวลาได้ไปเจอพนักงาน ได้มีทีมงานที่ดี แต่สิ่งที่ผมไม่สามารถทำได้แน่ๆ คือการตอกบัตรอยู่ที่ออฟฟิศเป็นเวลานานๆ

 

แต่กับการทำผม เราไม่เคยรู้สึกทรมานแบบเป็นเรื่องเป็นราว โดยเฉพาะการทำงานกับลูกค้าจะมีความสุขมาก แต่จะทรมานเรื่องการบริหารคน จากเดิมเราทำผมที่บ้านอย่างเดียว ตอนนี้เป็นเจ้าของร้าน ความรับผิดชอบไม่ได้จบที่เราคนเดียว มันอยู่ที่พนักงาน ทีมงานของเราด้วย เราไม่สามารถทำให้ทุกคนคิด พูด ทำ และตัดได้แบบเราเป๊ะๆ เพราะมนุษย์เรามีความคิดเป็นของตัวเองอยู่แล้ว แล้วอาชีพช่างทำผมคือการทำงานหารายได้จากคำว่าสวยงาม คน 10 คนมองอะไรสวยไม่เหมือนกัน ผมมองว่าทรงนี้สั้นเกินไป อีกคนมองว่ากำลังพอดี แต่อีกคนคิดว่ายาวไป มันเป็นอะไรที่ไม่มีบรรทัดฐานที่แน่นอน ค่อนข้างเหนื่อย แต่ก็ต้องเรียนรู้ไปเรื่อยๆ

 

 

ได้ใจเพราะใส่ใจรายละเอียด

ผมคิดว่าเป็นเรื่องของการใส่ใจรายละเอียดของลูกค้า ที่ทำให้เขาประทับใจและบอกต่อกันไปแบบปากต่อปาก ทีนี้พอลูกค้าเยอะขึ้นเราจำรายละเอียดได้ไม่หมด เวลาลูกค้ามาแล้วบอกว่าอยากได้อย่างครั้งที่แล้วนี่เป็นปัญหาเลยนะ เอ๊ะ ครั้งที่แล้วเขาทำอะไรไป

 

ซึ่งทุกวันนี้มันง่ายกว่าสมัยก่อน ผมสามารถจดบันทึก เขียนข้อมูล วาดทุกอย่างเอาไว้ในมือถือ แล้วเรียกข้อมูลของแต่ละคนขึ้นมาดูได้ทันที ใครชอบแบบไหนเป็นยังไงก็มีหมด เมื่อก่อนผมคีย์ข้อมูลลูกค้าในคอมพิวเตอร์ แต่ปัญหาคือเราเก็บข้อมูลได้แค่ตัวอักษร เราจะไม่สามารถจำได้ทั้งหมดว่าครั้งที่แล้วเขาทำผมแบบไหนกับเราเอาไว้ หรือถึงแม้ว่าพอเป็นยุคอินสตาแกรมมันจะง่ายขึ้นก็ตาม แต่ก็ไม่ได้ตอบโจทย์ผมทั้งหมด เราต้องไล่ดูรูปทั้งหมดว่าครั้งที่แล้วเขามาเมื่อไร

 

 

ในมือถือผมบันทึกรายละเอียดไว้แทบทุกอย่าง หลักๆ คือเรื่องสีผม เช่น ครั้งที่แล้วคนนี้เติมโทนสีเบอร์อะไร ทำไฮไลต์โลว์ไลต์ตรงไหนบ้าง หรือลูกค้าบอกว่าทำทรีตเมนต์ตัวนี้ให้แล้วดีมาก ก็จะเอาไว้ ครั้งหน้าถ้าเขามาเราจะได้เลือกสิ่งที่เหมาะสมให้ลูกค้าได้เลย รวมทั้งพวกความต้องการเล็กๆ น้อยๆ เช่น คนนี้ทำเคราติน ทรีตเมนต์ ยืดโคน ดัดปลาย เป็นอะไรที่เราไม่สามารถมองได้ถ้าเห็นจากแค่ภาพ Finish Look อย่างเดียว รายละเอียดทุกอย่างมันต่างกัน การที่เราสามารถวาด เขียน จด บันทึก ตัด แปะ ทุกอย่างเอาไว้ได้ในโทรศัพท์มือถือมันช่วยได้เยอะมาก  

 

ที่ไหน เมื่อไร ก็ทำงานได้

ถ้ามีเวลาก็จะพยายามเช็กไลน์ โพสต์รูปในอินสตาแกรมของร้าน เช็กอีเมล ดูว่ามีอะไรต้องทำบ้าง หลายครั้งที่พนักงานพิมพ์มาบอกว่า มีลูกค้าหรือโปรดักต์ต่างๆ ส่งใบเสนอราคา หรือมีเอกสารมาให้เซ็น พอผมใช้มือถือที่มีปากกา ผมก็แค่เปิดอีเมล ใช้ปากกาเซ็นเอกสารบนไฟล์ PDF กดเซฟแล้วส่งกลับไปให้เขา แค่นี้ก็จบแล้ว สะดวก รวดเร็ว ถ้าเป็นเมื่อก่อนต้องเปิดอีเมล ปรินต์เอกสารออกมา เซ็น สแกน แล้วถึงจะส่งกลับไปให้ลูกค้าได้ ยุ่งยากหลายขั้นตอน ถ้าอยู่ข้างนอกนี่ทำอะไรไม่ได้เลย เสียเวลา เสียโอกาสทางธุรกิจไปมาก

 

อีกอย่างหนึ่งที่ทำบ่อยมากคือ ผมต้องคอมเมนต์งานต่างๆ ตลอดเวลา อย่างเช่น มีงานที่เขาต้องออกกองถ่ายแฟชั่น แล้วผมไม่สามารถไปที่กองถ่ายได้ เขาก็จะถ่ายรูปแล้วส่งมาให้ผมดู ผมก็แค่ใช้ปากกาที่มากับมือถือวงจุดที่อยากให้แก้เอาไว้ คอมเมนต์กลับไป แล้วเขาแก้ให้ได้ทันที ทำให้ผมสามารถแอ็กชันทุกอย่างได้เหมือนผมอยู่ที่หน้าเซตจริงๆ ทั้งที่จริงๆ ผมอาจจะไปเที่ยวหรือกำลังตัดผมให้ลูกค้าอยู่ที่บ้านก็ได้

 

 

ยุคสมัยเปลี่ยน แต่การเรียนรู้ไม่มีวันสิ้นสุด

ผมเป็นคนชอบดู ชอบศึกษา และสิ่งที่ผมยึดมั่นและบอกกับพนักงานทุกคนคือการเรียนรู้ไม่มีวันสิ้นสุด ทุกปีผมยังต้องบินไปลอนดอนหรือประเทศต่างๆ ปีละครั้งเพื่อเรียนทำผมเพิ่มเติม รวมทั้งการศึกษาผ่านอินเทอร์เน็ต เช่น ยูทูบ หรืออินสตาแกรม ที่ช่างเมืองนอกจะชอบอัปเทคนิคอะไรต่างๆ มาให้เราศึกษาเต็มไปหมด ซึ่งเราทำงานกับแฟชั่นที่เคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา เพราะฉะนั้นเราจะหยุดเรียนรู้ไม่ได้เด็ดขาด

 

ต้องบอกก่อนว่าผมเป็นคนชอบหนังสือ และเป็นคนบ้าสะสมหนังสือมากนะครับ ผมซื้อหนังสือแฟชั่นตั้งแต่ ม.ปลาย ชอบดูรูปสวยๆ หรือหนังสือการ์ตูนผมก็เก็บเอาไว้ แต่ก็ต้องยอมรับว่าต่อให้ชอบแค่ไหนผมก็ไม่สามารถแบกหนังสือ 10 เล่ม ซึ่งแต่ละเล่มอาจจะมีรูปที่ผมชอบแค่ 1 รูป เพื่อไปพรีเซนต์ให้ลูกค้าดูได้ ในขณะที่ในมือถือของผมสามารถเก็บได้เป็นร้อยรูป แล้วเปิดให้ลูกค้าดูได้หมดเลย

 

หลายครั้งผมเจอลูกค้าที่ลังเลเลือกไม่ได้ว่าอยากจะได้สีผมประมาณไหน เวลาเราเปิดให้ลูกค้าดูหนึ่งรูป แล้วต้องเลื่อนไปอีกหน้าต่างหนึ่งเพื่อให้ลูกค้าดูอีกทรงหนึ่ง แต่ตอนนี้เราสามารถเปิดในมือถือแบบแบ่งหน้าจอเปรียบเทียบให้ลูกค้าเห็นได้ชัดๆ พร้อมกันเลยว่าเขาจะชอบทรงไหนมากกว่ากัน ไม่ต้องสลับไปสลับมา อาจจะดูเป็นเรื่องเล็กๆ นะ แต่มีประโยชน์มากสำหรับช่างทำผม เพราะความรู้สึกมันแตกต่างกัน

 

 

แค่นั้นยังไม่พอนะ เมื่อก่อนเวลาหาแรงบันดาลใจ สมมติผมเจอเว็บหนึ่ง มีทรงผมสวยๆ อยู่ 30 ทรง ผมต้องแคปหน้าจอเอาไว้ 30 รูป ซึ่งเป็นอะไรที่เวิ่นเว้อมาก แต่มือถือผมตอนนี้สามารถแคปหน้าจอพร้อมกับลิงก์ของเว็บได้เลย ไม่ต้องกลับไปตามหาต้นตออีกที ทำให้ผมสามารถกลับเข้าไปอ่านเว็บนั้นได้ทันที 30 รูป นอกจากความสะดวกแล้ว ผมสามารถจัดหมวดหมู่ของภาพที่แคปหน้าจอเอาไว้ในแกลเลอรี เหมือนจัดหมวดภาพเลย อย่างเช่น หมวดผมสั้น ผมประบ่า หรือรวมสีผมของปีนี้ ซึ่งมันทำให้เราหาง่ายขึ้น เร็วขึ้น

 

 

อนาคตที่ไม่หยุดอยู่แค่ซาลอน

ตอนนี้มีโปรเจกต์ใหม่ที่จะเกิดขึ้นช่วงเดือนมีนาคม แต่ยังบอกไม่ได้ ขอเก็บเอาไว้ก่อน ที่พอบอกได้คือก่อนหน้านี้ผมเปิดบริษัทใหม่ขึ้นมาชื่อ บริษัทของก้อง เป็นชื่อที่คุณแม่ตั้งให้ เป็นบริษัทที่ดูแลเรื่องครีเอทีฟมาร์เก็ตติ้งให้กับแบรนด์ต่างๆ หาพรีเซนเตอร์ที่เหมาะสม คิดแคมเปญที่เหมาะสมในการทำการตลาดให้ ไม่ใช่แค่จัดการแถลงข่าวเปิดตัวพรีเซนเตอร์แล้วจบ นอกจากนั้นยังมีการคิดอีเวนต์ต่างๆ ที่ทำให้สนุกมากขึ้น มีโปรดักชันรองรับสำหรับการถ่ายภาพนิ่ง คือพยายามทำทุกอย่างให้ครบวงจรในบริษัทเดียว

 

แล้วก็ทำรายการท่องเที่ยวชื่อ Fashion Journal ที่พาพี่ๆ น้องๆ เพื่อนๆ ในวงการไปทำกิจกรรมในแต่ละประเทศ เน้นเรื่องกิน เที่ยว แฟชั่น นำเสนอคอนเทนต์ที่เราสามารถใช้คอนเน็กชันส่วนตัวมาทำได้ เช่น การพาไปเจอดีไซเนอร์ในประเทศต่างๆ พูดคุยกับผู้คน พยายามทำให้เป็นรายการที่สนุก ดูง่าย ไม่ซีเรียส และในอนาคตมีรายการที่อยากทำคือ ทำรายการเกี่ยวกับบิวตี้โดยตรงเลย อยากทำมาก แต่ยังไม่มีเวลาทำในตอนนี้

 

 

ก้อง-กฤษฏิ์ จิระเกียรติวัฒนา กับอาวุธลับที่ไม่ได้มีแค่กรรไกร

สำหรับผม ก้องมีหลายด้าน ในด้านที่เป็นคนทำงานกับด้านที่เป็นคนทั่วไป ก้องคนที่จับกรรไกรจะไม่ค่อยพูด เวลาตัดผมจะเหมือนอยู่ในโลกส่วนตัวที่มีแค่ผมกับลูกค้าที่อยู่ตรงหน้าเท่านั้น ภาพรอบข้างจะเบลอไปหมดเลย เวลาใครมาเรียกก็ไม่ค่อยได้ยินด้วยนะ (หัวเราะ) เพราะทุกครั้งที่ตัดผมจะใช้สมาธิทั้งหมดไปที่ลูกค้า เพราะตั้งใจอยากทำออกมาให้ดีที่สุดจริงๆ

 

ส่วนก้องอีกมุมก็เหมือนๆ กับคนทั่วไป เที่ยว กิน เจอเพื่อน ติดมือถือ ก็ไม่ต่างจากคนอื่นๆ แต่ในบางครั้ง การติดมือถือของผมคือการพาก้อง Hive Salon ไปค้นพบสิ่งที่อะไรที่ยังไม่เคยเห็นหรือไม่เคยทำ ได้ขีดเขียนเก็บทุกรายละเอียด จดบันทึกทุกแรงบันดาลใจ สมาร์ทโฟนเป็นเหมือนประตูที่เปิดโลกใบใหม่ให้กับก้อง Hive Salon ได้เรียนรู้และพัฒนาตัวเองในทุกๆ วัน

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

X
Close Advertising