ก่อนหน้านี้ THE STANDARD POP ได้พูดคุยกับ ขจรเดช พรมรักษา หรือ กบ บิ๊กแอส เพื่อทบทวนเส้นทาง ความคิด และประสบการณ์ในวงการดนตรีทั้งหมด ที่ปรับปรุง เปลี่ยนแปลงจาก ‘มนุษย์ที่น่าเกลียดที่สุด’ จนกลายมาเป็นตัวเขา ณ ทุกวันนี้ (อ่านบทสัมภาษณ์ฉบับเต็มได้ที่ thestandard.co/kob-kachorndej-promraksa)
พร้อมกับการพิสูจน์ตัวเองในบทบาทโชว์ไดเรกเตอร์ให้กับคอนเสิร์ตต่างๆ ในค่าย Genie Records ทั้งงานคอนเสิร์ต G19 กว่าจะร็อกเท่าวันนี้, Bodyslam Fest วิชาตัวเบา และ Genie Fest 2020: Rock Mountain ที่จัดขึ้นในวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2563
เป็นความท้าทายใหม่ที่ทำให้เขาต้องเผชิญหน้ากับความกลัว ความเจ็บปวด การปะทะ และประนีประนอมความต้องการของทุกคน ที่ทำให้กบต้องเสียน้ำตาอยู่หลายครั้ง หลังจากไม่ได้ร้องไห้เพราะการทำงานมานานแล้ว
“ฟังดูแล้วอ่อนแอ๊ อ่อนแอเนอะ ทำไมไม่อดทนเลยวะ” เขาสารภาพกับเราอย่างติดตลกแต่ตรงไปตรงมา ที่เราสัมผัสได้ว่าเขาต้องแลกและปะทะกับสิ่งต่างๆ มากมายเกินกว่าที่เราจะจินตนาการออก เพื่อผลักดันศิลปินทุกคนภายใต้การเป็นโชว์ไดเรกเตอร์ของเขาให้ก้าวไปข้างหน้าอย่างน้อยหนึ่งก้าว
อย่างน้อยที่สุดสิ่งที่เขายอมแลกไปทั้งหมด ก็ทำให้เรารู้สึกได้ถึงมวลพลังงานบางอย่าง ที่เกิดขึ้นได้เฉพาะในเทศกาลดนตรี และอยากพาตัวเองไปสัมผัสความรู้สึกพิเศษแบบนั้นสักครั้งในงาน Genie Fest 2020: Rock Mountain ดูเหมือนกัน
ผมเชื่อว่าการที่ผมเหนื่อยหนักวันนั้น เหมือนการฉีดเซรุ่มป้องกันอะไรบางอย่าง ให้ผมดมกลิ่นได้ว่าจะเลือกไปปะทะกับอะไร และไม่ปะทะกับอะไร
คุณเคยบอกว่าการมาเป็นโชว์ไดเรกเตอร์ให้กับคอนเสิร์ต G19 กว่าจะร็อกเท่าวันนี้ ทำให้ชาวร็อกอย่างคุณต้องร้องไห้ออกมาอยู่หลายครั้งเหมือนกัน
ฟังดูแล้วอ่อนแอ๊ อ่อนแอเนอะ ทำไมไม่อดทนเลยวะ (หัวเราะ) อย่างแรกคือ การมาทำงานคอนเสิร์ตไม่ใช่ความฝันของชีวิต ถ้าเป็นความฝันเหมือนวงบิ๊กแอส เหมือนการทำเพลง เหนื่อยเท่าไรผมก็สู้ ไม่หลับไม่นอนสองคืนเพื่อเขียนเพลงก็ทำมาแล้ว แต่งานคอนเสิร์ตอยู่ดีๆ ผมจับพลัดจับผลูได้มาทำ
แล้วพอไปเจออุปสรรคที่ต้องเจอกับคนหมู่มาก ต้องไปรับมือกับความรู้สึก ความคาดหวัง รายละเอียดของศิลปินแต่ละคน ซึ่งศิลปินเป็นมนุษย์อีกแบบหนึ่งที่มีความผิดปกติไม่มากก็น้อยจนเกินไปกว่าคนอื่นเสมอ เท่าที่ผมวิเคราะห์มานะ กลายเป็นว่าผมรับมือไม่ได้ ถอนตัวก็ไม่ได้ เพราะทำมาเกินครึ่งทางแล้ว ทำอย่างไรได้ล่ะ ก็ระเบิดมันออกมาเลย ผมไม่ได้ร้องไห้กับงานมานานมาแล้ว แฟนผมยังตกใจเลยว่าอะไรของมึงเนี่ย (หัวเราะ)
กับงาน Genie Fest 2020: Rock Mountain ครั้งนี้น่าจะดีขึ้นแล้วใช่ไหม หลังผ่านประสบการณ์การเป็นโชว์ไดเรกเตอร์มาแล้วหลายครั้ง
จากที่มองว่าเป็นความกลัวในวันนั้น คราวนี้ผมบอกกับตัวเองเสมอว่า วันนี้จะไปเข้าโรงเรียนอีกแล้ว มันสนุกจริงๆ นะครับ ผมเพิ่งคุยกับทีมโปรดักชัน สร้างเวที กับการวางเอเลเมนต์สรอบงาน ที่ผมแค่โยนไอเดียหลักลงไปว่างานปีนี้จะเป็นอย่างไร ที่เหลือเขาไปต่อยอด แล้วมาอธิบายให้ฟัง ระยะห่างจากเวที ความสูงของเวที วัสดุตรงนี้สร้างมาจากอะไร ซึ่งผมไม่รู้อะไรเลยนะ แต่นั่งฟังอย่างมีความสุข เขาบอกอะไรมาก็ เหรอๆ เฮ้ย เจ๋งว่ะ
ผมรู้สึกว่าที่ขึ้นจากหลุมดำหลังจากวงบิ๊กแอสเกิดการเปลี่ยนแปลงวันนั้น ก็เพื่อมาเจอสิ่งนี้ เชี่ย กูเล่นดนตรีมาตลอดชีวิต 20 ปี เพิ่งรู้ว่าระยะห่างเวทีแค่ 2 เมตร มันมีผลได้ขนาดนี้เลยเหรอ อ๋อ ถ้าเอาตัวนี้วางตรงนี้ มันจะมีผลกับอันนี้นะ ทุกวันมีเรื่องใหม่ในชีวิตให้ผมเรียนรู้เยอะมาก พอเกิดความรู้สึกกลัวแบบที่เจอตอน G19 ผมก็จะเอาโมเมนต์แถวๆ นี้ไปปลอบใจตัวเองว่า อย่างน้อยก็ได้แลกกับการได้รู้เรื่องที่ไม่เคยรู้
และผมเชื่อว่าการที่ผมเหนื่อยหนักวันนั้น เหมือนการฉีดเซรุ่มป้องกันอะไรบางอย่าง ให้ผมดมกลิ่นได้ว่าจะเลือกไปปะทะกับอะไร และไม่ปะทะกับอะไร ผมจะมีวิธีเอาตัวรอดของผม และไม่เอาตัวไปแบกรับตรงนั้น แต่จัดวางอะไรที่ได้งานอย่างที่ต้องการ โดยไม่ต้องเสียเลือดเสียเนื้อเหมือนตอนนั้นอีกแล้ว
เพราะตอนนั้นผมไม่รู้อะไรเลยจริงๆ ศิลปินมีกี่เบอร์ ผมกระโดดเข้าไปรองรับทุกความคาดหวังของเขา แล้วก็พยายามทำให้ทุกคนได้สิ่งที่ต้องการ รู้ทั้งรู้เลยนะ บอกคนอื่นตลอดว่า สิ่งที่ผิดที่สุดในชีวิต คือการทำให้ทุกคนพอใจ
พอถึงตัวเอง กูจะทำให้ทุกคนพอใจ เป็นอย่างไรบ้าง ซีนนี้โอเคไหม เฮ้ย ขึ้นตรงนี้มีปัญหา มุดตรงนี้ไม่ได้เหรอ เดี๋ยวยกให้สูงขึ้นอีกเมตรหนึ่ง แล้วผมก็โดนทีมงานฝ่ายฉากเกลียดมาก มึงเป็นใครมาสั่งยกสิ่งที่กูทำมาทั้งคืน แล้วมันพังทั้งหมดจริงๆ
พอคราวนี้ดมกลิ่นได้ กลับไปคิดภาพฝันของตัวเองมาให้หมด ต้องมีความสุขกับทุกนาทีที่เกิดขึ้น สิ่งที่คิดแล้วไม่มีความสุขอย่าทำ แล้วต้องรู้ว่าก่อนไปมีอะไรที่ต้องเจอบ้าง ปัญหาที่หนักสุดคืออะไร รีบแก้ตรงนั้นก่อน แล้วจบทุกอย่างตั้งแต่ตอนวางแผนบนโต๊ะให้ได้ อันนี้เป็นภูมิคุ้มกันที่ดีที่ได้เรียนรู้มาจากครั้งก่อน
ทุกเฟสติวัลจะมีการเรียงวงเกิดขึ้น ตอนเด็กๆ เราเอาตัวเองเป็นตัวตั้ง โหยหาสิ่งที่ดีที่สุดให้กับตัวเอง เช่น เวทีที่ดีที่สุด ช่วงเวลาที่ดีที่สุด เป็นไฮไลต์ที่สุด นั่นคือสิ่งที่มีคำถามตลอด
แล้วจะทำอย่างไรถ้ามีศิลปินไม่เกิดคำถามว่า อ้าว ปีที่แล้วมาคุยกับพี่กบ แล้วเขาทำให้ แต่ทำไมปีนี้ไม่ยอมทำให้เราแล้วขึ้นมา
ไม่รู้เหมือนกัน (หัวเราะ) แต่ปีนี้ผมจะลองแบบนี้ แล้วดูว่าจะเกิดอะไรขึ้น อยากผิดให้เยอะ ผิดให้เร็ว ผิดให้บ่อย แต่เรื่องนี้ก็ย้อนแย้งกับสิ่งที่ผมเป็นอยู่ เพราะเราอยากผิด แต่งานที่ทำมันไม่มีสิทธิ์ให้ผิด ถ้าผิดคือฉิบหายเลยนะ ในใจคิดขอให้ผิด แต่ความจริงบอกผิดไม่ได้ เป็นความคิดที่สู้กันอยู่ตลอด ยังงงๆ อยู่ ดีลไม่ได้เหมือนกัน
มีเรื่องไหนบ้างไหม ที่ไม่เคยเข้าใจมาก่อนเวลาไปเล่นงานเฟสติวัลในฐานะศิลปิน แล้วเพิ่งมาเข้าใจความจริงเมื่อได้มาเป็นโชว์ไดเรกเตอร์ ดูแลภาพรวมงานทั้งหมดด้วยตัวเอง
ทุกเฟสติวัลจะมีการเรียงวงเกิดขึ้น ตอนเด็กๆ เราเอาตัวเองเป็นตัวตั้ง โหยหาสิ่งที่ดีที่สุดให้กับตัวเอง เช่น เวทีที่ดีที่สุด ช่วงเวลาที่ดีที่สุด เป็นไฮไลต์ที่สุด นั่นคือสิ่งที่มีคำถามตลอด เหี้ยเอ๊ย ทำไมกูต้องเล่นเวทีนี้วะ ทำไมเอากูไปต่อวงนั้น ทำไมเล่นก่อนวงนี้ มีแต่คำถามเต็มไปหมด
พอมาเป็นคนจัดงานจริงๆ นี่เรียบร้อยเลย มันคลาสสิกจริงๆ นะครับ (หัวเราะ) วันหนึ่งต้องมาคิดว่า เชี่ย กูจะไปบอกมันยังไงวะ ว่าทำไมเอามึงเล่นตอนนี้ ทำยังไงให้เขายอมรับว่าการจัดคอนเสิร์ตก็มีระบบนิเวศของมันนะ ต้องเป็นวงนี้ขึ้นก่อน เพื่อไปหาวงนี้ แล้วรสชาติจะดีขึ้นเรื่อยๆ ถ้าต่อด้วยวงนี้จะทำให้ได้บรรยากาศดุเด็ดเผ็ดมัน เหมือนการเสิร์ฟอาหารบนโต๊ะจีนที่ลำดับทุกอย่างมีความหมาย เพื่อให้ได้รสชาติที่อร่อยขึ้น
การเรียงวงก็เหมือนกัน ทำไมถึงเอาวงนี้ขึ้นก่อน เพราะวงต่อไปแม่งอร่อยว่ะ แต่วงที่ขึ้นก่อนเขาต้องเจ็บปวดมากเลยนะ ต้องเสียสละสุดๆ แล้วเราจะทำให้เขามีความสุขกับความลำบากได้อย่างไร ต้องท้าทายเขาแบบไหน ต้องตอบแทนเขาอย่างไร นี่คือเรื่องสำคัญนอกเหนือจากทำให้มันสนุก คือการดูแลหัวจิตหัวใจของเขา
แล้วการเป็นศิลปินมาก่อน ก็ไม่รู้ว่าเป็นข้อได้เปรียบหรือเสียเปรียบนะ เพราะรับรู้ได้ว่าอยู่ตรงนี้มึงต้องด่าพ่อกูอยู่ในใจแน่นอน (หัวเราะ) แล้วตอน G19 ผมโดนจริงๆ ได้ยินแบบปะทะเลย ซึ่งอยากจะบอกเหลือเกินว่าถ้ากูเอามึงไปอยู่ตรงโน้น มึงกลายเป็นแซนด์วิชที่โดนประกบด้วยสองวงขาใหญ่ แล้วมึงเละเลยนะ แต่เราจะอธิบายแบบนั้นไม่ได้ เพราะเขามีความเชื่อของเขาอยู่ ซึ่งเราเข้าใจ
ขนาดโปสเตอร์งาน ก็ต้องออกแบบตัวหนังสือให้เท่ากันทุกวงนะ จะทำให้วงโน้นใหญ่กว่าวงนี้ไม่ได้นะ มันมีเรื่องพวกนี้อยู่ ที่พอเข้าไปแล้วแบบ เชี่ย พวกมึงยากกันขนาดนี้เลยเหรอวะ ตายแล้ว (หัวเราะ)
ทั้งหมดคือการเรียนรู้ว่าเรื่องนี้มันละเอียดอ่อนและเปราะบาง
ตอนงาน G19 ที่คุณในฐานะโชว์ไดเรกเตอร์ต้องไปบอกเพื่อนๆ ในวง ว่าอยากให้บิ๊กแอสเล่นเป็นวงเปิด เพื่อให้อุณหภูมิงานเดือดตั้งแต่แรก พวกเขาเห็นภาพเดียวกันกับคุณอย่างนั้นด้วยไหม
ไม่ วันนั้นเป็นอีกวันที่ผมช็อกที่สุดในชีวิต พูดง่ายๆ คือผมแม่งผิดหวังเพราะมองคนละภาพกันเลย โห ขนาดเพื่อนที่รู้จักเราดีที่สุดยังทักเลยว่า เชี่ย ทำไมเราต้องเล่นก่อนวะ แล้วคนอื่นก็มองว่าบิ๊กแอสโคตรเสียสละที่ยอมเล่นก่อน เปล่าเลย การเปิดงานด้วยอินโทรเพลงแดนเนรมิต นั่นคือภาพที่เท่สุดๆ สำหรับผม
แต่เพื่อนไม่มองอย่างนั้น ทุกคนมองว่าตามธรรมชาติของวงแรกคนยังเข้างานไม่ถึงครึ่ง แต่ผมมองว่าเราไม่ได้เล่นแค่ในงาน ภาพมันจะโดนขยายไปสู่ DVD คอนเสิร์ต ไปสู่สิ่งต่างๆ มากมายที่เป็นไปได้มากกว่านั้น อีกอย่างคือ ถ้าเปรียบเทียบเป็นหนัง ผมมองว่าหนังเรื่อง G19 เป็นหนังสงครามแบบ Saving Private Ryan ที่เปิดฉากมาต้องยิงใส่กันก่อน ต้องเดือดตั้งแต่ต้น
ทั้งหมดคือการเรียนรู้ว่าเรื่องนี้มันละเอียดอ่อนและเปราะบาง Genie Fest 2020 ผมเลยคุยกับวงแรกและวงสุดท้ายเรียบร้อยแล้ว อะไรที่มองว่ากวนใจ ผมจะรีบเคลียร์ออกจากในหัวก่อน เพราะผมเข้าใจความรู้สึกเขาจริงๆ
การเล่นวงสุดท้ายก็ไม่ใช่สิ่งที่ทุกคนอยากได้เสมอไปนะครับ บางคนรู้สึกว่าใหญ่เกินตัวที่จะได้รับเกียรติสูงสุดขนาดนั้นก็มี หน้าที่ของเราก็คือทำอย่างไรให้เขารู้สึกว่า เขายิ่งใหญ่พอที่จะไปเล่นตรงนั้น กับวงแรกก็เหมือนกัน ที่จะทำอย่างไรให้เขารู้สึกไม่ด้อยค่ากับการเป็นวงแรก
มิวสิกวิดีโอเพลงแดนเนรมิต – บิ๊กแอส
เราต้องเชื่อในสิ่งนั้นจริงๆ ต่อให้ระหว่างทางไม่มั่นใจขนาดนั้น อย่างน้อยก็ต้องเชื่อว่ามันจะต้องรอด
หลังจากผ่านการพูดคุย ทำความเข้าใจกับศิลปินวงอื่นๆ รวมทั้งเพื่อนในวงบิ๊กแอส มาแล้ว คุณมีวิธีจัดการกับความรู้สึกเมื่อถูกทัก ถูกถาม ถูกต่อว่าอย่างไร เพื่อยืนยันกับตัวเองให้ได้ว่าการตัดสินใจที่เลือกไปนั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้อง สมควรแล้ว
เละเทะ จัดการไม่ได้เลยครับ (หัวเราะ) ผมไม่สามารถรับมือกับมันได้เลย ผมอยากให้ทุกคนมาบอกให้รู้สึกว่า เชี่ย หรือว่ากูคิดผิดวะ แต่มันจะไปพิสูจน์ตอนจบบรรทัดสุดท้ายของคอนเสิร์ตเองว่า นี่ไง เห็นไหมว่ามันถูกต้องแล้ว
ถ้าพูดเท่ๆ ก็คือมันต้องเชื่อครับ จะฝ่าฟันตรงนั้นได้มีแค่คาถาเดียวคือ อย่าเป๋ กูต้องรอด พี่จิก (ประภาส ชลศรานนท์) เคยบอกว่า คนเราต้องมีความเชื่อในความเชื่อ ตอนแรกผมต้องแปลไทยเป็นไทยอยู่พอสมควรนะ (หัวเราะ) แต่ตอนนี้เข้าใจว่ามันคือขั้นกว่านั้นอีก คือนอกจากมีความเชื่อแล้ว เราต้องมีความเชื่อที่จะเชื่อความเชื่อนั้นด้วย
แต่ต่อให้เชื่อขนาดนั้นก็ไม่มีใครรู้หรอกครับ ถ้าออกมาห่วย เราอาจจะคิดว่า รู้อย่างนี้เปลี่ยนตามก็ดี แต่อย่างน้อยสิ่งที่ได้มาก็คือ เราได้ลองทำ ได้พิสูจน์ ว่ามันใช่จริงหรือเปล่า ผมมักจะปลอบใจตัวเองแบบกำปั้นทุบดินว่า ถึงผิดพลาดอย่างไรก็ไม่มีใครตายหรอก ยังมีงานหน้าให้แก้มืออยู่ ไม่มีอะไรผิด 100% ถูก 100%
ที่สำคัญคือกลับมาที่เรื่องเดิม เราต้องเชื่อในสิ่งนั้นจริงๆ ต่อให้ระหว่างทางไม่มั่นใจขนาดนั้น อย่างน้อยก็ต้องเชื่อว่ามันจะต้องรอด ไม่อย่างนั้นเราจะกลายเป็นคนไม่มีความเชื่อ และพร้อมเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาตลอดเวลา เมื่อไม่มีจุดยืนในการทำงาน ใครล่ะจะเชื่อเรา แล้วไม่ใช่แค่การทำคอนเสิร์ต แต่หมายถึงความเชื่อมั่นในการใช้ชีวิตทั้งหมดเลย
การถามตัวเองว่าต้องทำอะไร นั่นแหละ คือความหมายของการก้าวไปข้างหน้า 1 ก้าว
คุณเคยให้สัมภาษณ์ว่า เวลาจัดเฟสติวัล คือการทำให้ศิลปินก้าวไปข้างหน้า ไม่ใช่ปีนขึ้นไปด้านบน ทำไมถึงเป็นอย่างนั้น
อาจดูเล่นลิ้นนิดหนึ่งนะ พอผมกลับมาฟังยังคิดอยู่เลยว่าพูดอะไรของมึงวะ (หัวเราะ) แต่สำหรับผม ข้างหน้ากับข้างบนมันก็ไม่เหมือนกันจริงๆ
อย่างแรกคือการไปข้างหน้า พอเป็นเฟสติวัล จะเหมือนมีการแข่งขันกันกลายๆ ไม่ใช่แข่งกันจริงๆ นะครับ แต่จะมีความรู้สึกว่า ยอมแพ้ไม่ได้ ซึ่งมันจะผลักดันเรา เช่น ตอนนี้ทุกคนจะเริ่มเหล่สคริปต์กันเองแล้ว วงอะไรก่อนเราวะ อ๋อ วงนี้เว้ย ต้องทำอย่างนี้ เฮ้ย ต้องเล่นต่อจากบอดี้สแลมเหรอวะ ฉิบหายแล้ว พี่ตูน (อาทิวราห์ คงมาลัย) แม่งกายกรรมมาแน่เลย (หัวเราะ) เราจะทำอะไรดีวะเนี่ย
การถามตัวเองว่าต้องทำอะไร นั่นแหละ คือความหมายของการก้าวไปข้างหน้า 1 ก้าว เขาจะไม่เล่นโชว์แบบเดิมแน่ๆ ความรู้สึกนี้จะพาเขาออกจากเซฟโซนบางอย่างที่เขาไม่กล้าทำ หรือจะพาเขาแตกต่างกับสิ่งที่เคยทำมา นั่นคือการผลักตัวเองไปข้างหน้าด้วยตัวของเขาเอง
ส่วนการขึ้นไปข้างบน จะเป็นวิธีการอีกแบบคือ ต้องทำทุกอย่างให้สูงกว่า เหนือกว่า เก่งกว่า ข้างบนคือกูต้องชนะมึง แต่เท่าที่ผมสัมผัสมานะ ทุกคนไม่ได้มีความรู้สึกอยากชนะกันขนาดนั้น แค่รู้สึกว่า เฮ้ย ต้องไปอีกก้าวที่เป็นอยู่ให้ได้ มันทำไปถึงไหน แล้วเราทำเชี่ยอะไรอยู่วะ ผมอาจจะอธิบายไม่เคลียร์ แต่คิดว่ามันเป็นความรู้สึกประมาณนี้นะ คือผลักดันซึ่งกันและกัน
ความรู้สึกเวลาไปเล่นคอนเสิร์ตของตัวเองตามที่ต่างๆ กับได้เล่นบนงานเฟสติวัลแตกต่างกันมากขนาดไหน
เอาจริงๆ เลยนะ ส่วนตัวผมเองไม่อยากเล่นเฟสติวัลเลยนะ เพราะมันกดดัน เวลาโชว์เดี่ยว เราจะเห็นหน้าคนดูของเรา รู้ว่าจะสื่อสารกับเขาแบบไหน แต่เป็นเฟสติวัลเมื่อไร เราไม่รู้ว่าคนที่อยู่ข้างล่างเป็นแฟนเพลงเราสักกี่คน ต้องเรียงแบบไหน บางทีมองลงไปก็เห็นแล้วว่าเป็นแฟนเพลงพี่แสตมป์ (อภิวัชร์ เอื้อถาวรสุข) แน่นอน (หัวเราะ) ไม่ใช่แฟนเพลงบิ๊กแอสหรอก แล้วเราจะเริ่มรู้สึกหนักใจ กระสับกระส่าย นอยด์ กังวล ไม่เป็นตัวเอง
แต่มันแลกมาด้วยอะไรรู้ไหมครับ มันแลกมากับการที่หัวใจเต้นแรงที่สุด พอขึ้นเวทีไปมันจะมีพลังอีกแบบขึ้นมา สังเกตได้ว่าทำไมคนถึงชอบไปงานเฟสติวัล เพราะมันมีความเกินปกติของนักดนตรี มันมีแรงอะไรก็ไม่รู้ที่ทำให้รู้สึกว่า เชี่ยเอ๊ย วงก่อนหน้าทำไว้ขนาดนั้น ไม่ได้แล้วเว้ย ต้องใส่มากกว่าปกติ ในคอนเสิร์ตส่วนตัวจะเต็มไปด้วยความรู้สึกประทับใจ แต่เฟสติวัลจะมอบพลังให้อีกแบบหนึ่ง
คอนเสิร์ตก็ไม่ใช่หนังสือที่ต้องอ่านแล้วรู้เรื่องทั้งหมด แล้วผมอาจจะเป็นโรคจิตนะ แค่คนตั้งคำถามว่า มันคืออะไรวะ แค่นี้ผมฟินแล้ว (หัวเราะ)
มีโจทย์ที่รู้สึกว่าต้องแก้ไขให้ หรือมีภาพไหนที่อยากให้เกิดขึ้นมากที่สุดในงาน Genie Fest 2020: Rock Mountain ครั้งนี้
ปฏิเสธไม่ได้ว่าตอนนี้เฟสติวัลเมืองไทยเยอะมาก ผมตั้งโจทย์ท้าทายตัวเองไว้ 4 ข้อคือ ทำอย่างไรให้แตกต่าง ทำอย่างไรให้สร้างสรรค์ ทำอย่างไรให้คนได้แรงบันดาลใจไม่มากก็น้อย และทำอย่างไรให้คนกลับไปบอกต่อ ตอนนี้คิดแบบเวทีเสร็จแล้ว เอเลเมนต์สรอบนอกที่อยากให้เกิดขึ้นก็เห็นภาพแล้ว
อีกสิ่งหนึ่งคือ ทุกเฟสติวัลจะมีความหมายของเขาอยู่ Big Mountain คือ ใหญ่มาก เล่นเรื่องใหญ่ Season of Love Song คือเพลงรัก Singing in the Rain คือเทศกาลดนตรีกลางสายฝน ผมใช้เวลานานมากในการค้นหาความหมายของ Genie Fest จนเจอ
แล้วหวังว่าคนที่ไปวันนั้น เขาไม่ต้องเข้าใจทั้งหมดหรอก ผมไม่บอกว่าคืออะไร แต่คิดเข้าข้างตัวเองว่าอย่างน้อยทุกคนต้องสัมผัสได้ว่านี่คืองาน Genie Fest จริงๆ
ตอนเป็นโชว์ไดเรกเตอร์ให้คอนเสิร์ต Bodyslam Fest วิชาตัวเบา คุณก็ใส่ความหมายผ่านสัญลักษณ์ต่างๆ เอาไว้มากมาย แต่หลายคนก็เข้าไม่ถึงความหมายเหล่านั้น
แน่นอนว่าความสนุกต้องมาอันดับหนึ่ง แต่คอนเสิร์ตก็ไม่ใช่หนังสือที่ต้องอ่านแล้วรู้เรื่องทั้งหมด แล้วผมอาจจะเป็นโรคจิตนะ แค่คนตั้งคำถามว่า มันคืออะไรวะ แค่นี้ผมฟินแล้ว (หัวเราะ) ผมชอบอะไรที่จบแบบ มันคืออะไรวะ ไม่เห็นรู้เรื่องเลย แต่ก็เอาออกจากหัวไม่ได้สักที แล้วเอาไปคิดต่อเรื่อยๆ ซึ่งใครจะคิด จะตีความแบบไหน เป็นเรื่องของเขาเลย
ผมเห็นทุกคนยิ้ม ศิลปินทุกคนยิ้ม ทำให้เขาแฮปปี้ ทุกคนได้แต้ม ได้ก้าวไปข้างหน้า นั่นคือสิ่งที่วัดผลได้สำหรับผม
ถ้าคนดูไม่จำเป็นต้องเข้าใจ คุณใช้เกณฑ์อะไรในการวัดผลงานในฐานะโชว์ไดเรกเตอร์ เพราะอย่างคอนเสิร์ตบอดี้สแลม หรือศิลปินในค่ายจีนี่ฯ ก็มีแฟนเพลงที่รอซื้อบัตรจนเต็มอยู่แล้ว
ผมประเมินจากรอยยิ้มนะ ตอนซีนสุดท้ายของ G19 ปั๊บ โปเตโต้ (พัฒน์ชัย ภักดีสู่สุข) พูดขอบคุณผมบนเวทีด้วยนะ แต่หารู้ไม่ว่าผมนอนเป็นลม หมดสภาพอยู่ เพราะมันเหนื่อยมาก แต่เราต้องกัดฟันทำให้ได้ แล้วผมเห็นทุกคนยิ้ม ศิลปินทุกคนยิ้ม ทำให้เขาแฮปปี้ ทุกคนได้แต้ม ได้ก้าวไปข้างหน้า นั่นคือสิ่งที่วัดผลได้สำหรับผม
อย่างตอน Bodyslam Fest วิชาตัวเบา เป็นสิ่งที่ผมอยากทำแบบนี้ รู้อยู่แล้วว่าคนดูไม่รู้เรื่องหรอก มึงจะนามธรรมอะไรกันหนักหนาวะ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่านั่นคือบอดี้สแลมนะ ยิ่งถ้ารู้เรื่องก็ไม่ใช่บอดี้สแลมนะ (หัวเราะ) ณ นาทีนั้น เวลาเจอโจทย์อะไรยากๆ ก็คิดแค่ว่า วงเขาอยากเป็นแบบนี้ เอาวะ ไปด้วยกัน ข้ามผ่านไปให้ได้ด้วยรอยยิ้มของทุกคนและตัวเอง
คลิปโปรโมตงาน Genie Fest 2020: Rock Mountain
ภาพ: ส่วนหนึ่งจาก Genie Records
พิสูจน์อักษร: ลักษณ์นารา พักตร์เพียงจันทร์
- Genie Fest 2020 ตอน Rock Mountain ที่กบรับหน้าที่เป็นโชว์ไดเรกเตอร์ คือเทศกาลดนตรีที่รวมศิลปินร็อก 25hours, Cocktail, Klear, Labanoon, Num Kala, Palmy, Paradox และ Potato มาโชว์สุดพิเศษด้วยความยาว 10 ชั่วโมงเต็ม
- งานจัดที่ Jolly Land เขาค้อ จังหวัดเพชรบูรณ์ ในวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2020 จะขายบัตรพรีเซลราคา 1,700 บาท (จากราคาปกติ 2,000 บาท) ในวันอาทิตย์ที่ 5 มกราคม 2563 ตั้งแต่เวลา 10.00-23.59 น.