×

KKP ห่วงสงครามรัสเซีย-ยูเครนทำเศรษฐกิจไทยเข้าสู่ Stagflation ดันเงินเฟ้อพุ่งสูงสุดรอบ 14 ปี

09.03.2022
  • LOADING...
KKP Research

KKP Research มองความขัดแย้งรัสเซีย-ยูเครนยังมีความไม่แน่นอนสูง จับตาชาติตะวันตกรุมคว่ำบาตรด้านพลังงาน กดดันราคาน้ำมันพุ่ง ทำเงินเฟ้อไทยเสี่ยงพุ่งทำสถิติสูงสุดรอบ 14 ปี พร้อมประเมินอาจกระทบเศรษฐกิจไทย 3 ด้าน ทั้งส่งออก เงินเฟ้อ ท่องเที่ยว สร้างแรงกดดันต่อเศรษฐกิจที่อาจเข้าสู่ภาวะ Stagflation 

 

KKP Research โดยเกียรตินาคินภัทร ออกรายงาน ‘ความขัดแย้งรัสเซีย-ยูเครนกับผลกระทบต่อเศรษฐกิจ’ ประเมินความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครนกำลังกลายเป็นความเสี่ยงใหญ่ของเศรษฐกิจโลกและไทย 

 

โดยเหตุการณ์นี้ยังมีความไม่แน่นอนสูงมาก และผลลัพธ์ของสงครามในครั้งนี้มีความเป็นไปได้ 3 ทาง คือ 

 

  1. รัสเซียบุกเข้ายึดกรุงเคียฟและโค่นล้มรัฐบาลยูเครนสำเร็จจนบังคับให้ประเทศตะวันตกตัดการซื้อพลังงานจากรัสเซีย 

 

  1. การเจรจาหยุดยิงระหว่างยูเครนและรัสเซียประสบความสำเร็จและไม่มีการยกระดับมาตรการคว่ำบาตร 

 

  1. สงครามยืดเยื้อเป็นเวลานานและแผ่ในวงกว้าง 

 

มาตรการคว่ำบาตรเพียงพอหรือไม่ 

หลายประเทศในตะวันตกตอบโต้การบุกของรัสเซียด้วยมาตรการคว่ำบาตร โดยมาตรการในเบื้องต้นมุ่งเน้นไปที่การอายัดทรัพย์สินของบุคคลที่มีความเกี่ยวข้องกับรัฐบาลรัสเซีย, อายัดทรัพย์สินของธนาคารบางแห่ง, ตัดสิทธิ์การซื้อขายตราสารหนี้ของธนาคารดังกล่าวในตลาดการเงินสหรัฐฯ และยุโรป, ตัดธนาคารบางแห่งออกจากระบบ SWIFT และตัดธนาคารกลางของรัสเซียไม่ให้ทำธุรกรรมสกุลเงินดอลลาร์ 

 

โดยมาตรการคว่ำบาตรทำให้ค่าเงินรูเบิลอ่อนค่าอย่างรุนแรง และจะทำให้เศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะถดถอย ขณะเดียวกันยังอาจเจอความเสี่ยงจากอัตราเงินเฟ้อและการผิดนัดชำระหนี้ด้วย

 

อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจประเทศตะวันตกพึ่งพาการนำเข้าพลังงานจากรัสเซียมาก หากประเทศตะวันตกยังไม่กล้าหยุดซื้อพลังงานซึ่งเป็นแหล่งรายได้หลักของรัสเซีย จากความกังวลว่าเศรษฐกิจของประเทศจะถูกกระทบรุนแรง มาตรการต่างๆ ในปัจจุบันจะยังไม่เพียงพอที่จะหยุดการรุกรานจากรัสเซียได้ 

 

มาตรการต่อไปคืออะไร?

การใช้มาตรการคว่ำบาตรเพิ่มเติมของประเทศตะวันตกในระยะถัดไป จะต้องพิจารณาถึง 

 

  1. ความเสี่ยงที่จะยิ่งทำให้ความขัดแย้งแผ่ในวงกว้างและความรุนแรงของการรุกราน 

 

  1. ผลกระทบย้อนกลับต่อเศรษฐกิจของตนเอง 

 

โดย KKP Research มองว่ามีความเป็นไปได้ที่ประเทศตะวันตกจะนำมาตรการคว่ำบาตรทางพลังงานมาใช้ หากความขัดแย้งทวีความรุนแรงจนเกิดความเสียหายอย่างล้นหลาม สะท้อนจากท่าทีของเยอรมันที่เปลี่ยนไปที่วางแผนจะลดการพึ่งพาพลังงานจากรัสเซีย ซึ่งในกรณีที่มีการใช้มาตรการคว่ำบาตรทางพลังงานจริงจะทำให้ราคาพลังงานทั้งในยุโรปและโลกเพิ่มสูงขึ้นมาก หากรัสเซียตัดสินใจตอบโต้ด้วยการลดอุปทานของน้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติ 

 

Bank of America ประเมินว่า ทุกๆ 1 ล้านบาร์เรลต่อวันที่หายไปอาจทำให้ราคาน้ำมันดิบเพิ่มขึ้น 20 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ดังนั้น ถ้าหากน้ำมันดิบจากรัสเซียถูกตัดขาดจากตลาดโลก อาจทำให้ราคาน้ำมันดิบเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า จาก 100 ดอลลาร์เป็น 200 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ซึ่งในกรณีดังกล่าวจะกลับมากระทบเศรษฐกิจโลกค่อนข้างรุนแรง จากทั้งปัจจัยด้านราคาและอาจเกิดภาวะขาดแคลนวัตถุดิบในระยะสั้น ทำให้เกิดการหยุดชะงักของภาคการผลิตได้ 

 

สงครามยืดเยื้อ ดันเงินเฟ้อเกิน 4% 

KKP Research ประเมินว่า สงครามระหว่างรัสเซียและยูเครนจะมีแนวโน้มทำให้เศรษฐกิจไทยชะลอตัวลง ในขณะที่อัตราเงินเฟ้อจะเร่งตัวขึ้นแรงที่สุดในรอบมากกว่า 10 ปี โดยผลกระทบจากสงครามจะกระทบเศรษฐกิจไทยใน 3 ช่องทางหลัก 

 

  1. การส่งออกของไทยอาจขยายตัวได้น้อยกว่าที่ประเมินไว้ 

ผลกระทบทางตรงที่ไทยจะได้รับคือผลจากการค้าระหว่างประเทศที่มีแนวโน้มชะลอลง โดยแม้ว่าสัดส่วนการส่งออกไปยังรัสเซียและยูเครนจะต่ำ คือ รวมกันประมาณ 0.7% ของการส่งออกทั้งหมด แต่การส่งออกไปยังยุโรปที่มีสัดส่วนกว่า 10% จะได้รับผลกระทบหากเศรษฐกิจยุโรปชะลอตัว 

 

อย่างไรก็ตาม ผลกระทบที่น่ากังวลมากที่สุดจะเกิดจากปัญหาการขาดแคลนวัตถุดิบจากการหยุดชะงักของการค้าระหว่างไทยกับรัสเซียและยูเครน ส่งผลกระทบให้บางภาคการผลิตต้องหยุดกิจการ โดยกลุ่มสินค้านำเข้าหลัก ได้แก่ ปุ๋ยเคมีและธัญพืช 

 

  1. อัตราเงินเฟ้อในปี 2022 อาจปรับตัวสูงขึ้นเกิน 4% ตามราคาน้ำมันดิบโลก

ความขัดแย้งในครั้งนี้จะส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบปรับตัวสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ KKP Research ประเมินว่า ราคาน้ำมันดิบในช่วงที่เหลือของปีจะสูงขึ้นเกิน 110 ดอลลาร์สหรัฐ บนสมมติฐานว่าประเทศตะวันตกจะมีการลดการนำเข้าสินค้าโภคภัณฑ์จากรัสเซียลงบางส่วน ซึ่งจะส่งผลให้ราคาน้ำมันเฉลี่ยทั้งปีสูงขึ้นเกิน 100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล จากที่เคยคาดไว้ที่ 85 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล และคาดว่ายังมีโอกาสที่ราคาน้ำมันเฉลี่ยจะสูงเกิน 130 ดอลลาร์ต่อบาเรลในสถานการณ์ที่สงครามมีความรุนแรงและยืดเยื้อกว่าที่คาด 

 

KKP Research ประเมินว่า เมื่อนับรวมกับปัญหาราคาอาหารสดและอาหารนอกบ้านที่แพงขึ้นก่อนหน้านี้ จะทำให้เงินเฟ้อเฉลี่ยทั้งปี 2022 ของไทยสูงขึ้นเกิน 4% สูงที่สุดตั้งแต่ปี 2008 หรือสูงที่สุดในรอบ 14 ปี และจะส่งผลกลับมากระทบการบริโภคให้ชะลอตัวลง 

 

  1. นักท่องเที่ยวอาจเดินทางมาน้อยกว่าที่ประเมินไว้

เกิดจากนักท่องเที่ยวรัสเซียที่จะเดินทางมาได้น้อยลง โดยในช่วงต้นปี 2022 นักท่องเที่ยวรัสเซียเป็นนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามาไทยมากที่สุด คิดเป็นประมาณเกือบ 10% ของนักท่องเที่ยวทั้งหมด ยิ่งไปกว่านั้น ราคาน้ำมันที่สูงขึ้นจะเพิ่มต้นทุนการเดินทางระหว่างประเทศ และทำให้อุปสงค์ต่อการท่องเที่ยวลดลง 

 

นอกจากนี้ ผลกระทบทางอ้อมที่จะเกิดขึ้นต่อเนื่องและจะเป็นความท้าทายสำคัญต่อนโยบายเศรษฐกิจของไทย คือ ดุลบัญชีเดินสะพัดที่มีโอกาสขาดดุลอีกครั้งในปีนี้ ซึ่งเป็นผลมาจากราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้นและไทยนำเข้าน้ำมันในสัดส่วนสูง ประกอบกับนักท่องเที่ยวที่จะกลับมาได้น้อยกว่าที่คาดไว้ จะทำให้ดุลบัญชีเดินสะพัดมีโอกาสขาดดุลเพิ่มเติม 

 

ในขณะที่แม้เศรษฐกิจโลกอาจชะลอตัวลงเล็กน้อย KKP Research ประเมินว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ จะยังคงปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายต่อเนื่องเพื่อต่อสู้กับเงินเฟ้อ ทำให้ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยระหว่างไทยกับสหรัฐฯ จะยังห่างออกจากกันมากขึ้น ซึ่งจะเป็นแรงกดดันสำคัญที่จะเกิดขึ้นต่อค่าเงินบาทที่อาจผันผวนและอ่อนค่าลงได้ในระยะสั้น 

 

แม้ว่าสถานการณ์สงครามระหว่างรัสเซีย-ยูเครนยังมีหลายทางออกที่เป็นไปได้ KKP Research ประเมินว่า ในปัจจุบันมีความเสี่ยงค่อนข้างสูงที่สถานการณ์จะเข้าสู่กรณีที่สร้างผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกและไทยได้ 

 

โดยเหตุการณ์นี้นับเป็นอีกหนึ่งแรงกดดันการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่เข้าสู่ภาวะ Stagflation อย่างชัดเจนเช่นเดียวกับที่เคยประเมินไว้ก่อนหน้านี้ และสร้างความท้าทายสำคัญต่อนโยบายการเงินไทยในระยะต่อไปที่ต้องดูแลทั้งเศรษฐกิจ อัตราเงินเฟ้อ เสถียรภาพระบบการเงิน และอัตราแลกเปลี่ยนไปพร้อมๆ กัน 

 


 

ช่องทางติดตาม THE STANDARD WEALTH


Twitter: twitter.com/standard_wealth
Instagram: instagram.com/thestandardwealth
Official Line: https://lin.ee/xfPbXUP

  • LOADING...

READ MORE





Latest Stories

Close Advertising
X
Close Advertising