ภาพถ่ายน่าจะเป็นของไม่กี่สิ่งบนโลกที่สามารถหยุดและย้อนกาลเวลาได้ เมื่อเวลาผ่านไปภาพถ่ายอาจช่วยบอกเล่าเรื่องราวในอดีต ชวนเรานึกย้อนเรียกรอยยิ้มไปจนถึงน้ำตา
ยิ่งเป็นภาพถ่ายของคนที่เรารัก ยิ่งมากคุณค่าและเรื่องราว
เราจึงอยากหาใครสักคนที่สะสมพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ในหลากหลายอิริยาบถ เพื่อให้เขาบอกเล่าเรื่องราวและเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยในภาพถ่ายที่เราอาจไม่เคยรู้
นี่คือความตั้งใจเดิมที่เราคิดไว้
แต่เมื่อเราเดินทางมาพบ นน-ทิพากร สมคะเน และ วัชรพล เรืองปลอด (หลานของนน) นักสะสมภาพเก่า เรากลับพบว่ามีอะไรที่มากกว่าที่เคยคิด
เริ่มต้น ‘นน’ ชอบงานศิลปะ สะสมของเก่า และรูปภาพเก่า โดยเฉพาะพระบรมฉายาลักษณ์รัชกาลที่ 9 ที่มีมากจนหากนำมาติดฝาผนังบ้าน 3 ชั้นก็ยังไม่หมด
จากเดิมที่สะสมพระบรมฉายาลักษณ์รัชกาลที่ 9 หลากหลายแบบ ในช่วงสิบปีหลัง นนหันมาสะสมภาพถ่ายแนวพอร์เทรตโดยเน้น ‘ภาพต้นฉบับ’
นนบอกว่า เพราะภาพถ่ายพอร์เทรตต้องได้รับพระราชทานอนุญาตโดยตรง หรือช่างภาพผู้ถ่ายรูปเป็นผู้ล้างฟิล์มและอัดรูปเท่านั้น
“บางภาพที่เราเห็นกันอยู่บ่อยๆ แต่หากเป็นภาพต้นฉบับค่อนข้างหายาก ขณะที่บางภาพถึงขั้นแทบพลิกแผ่นดินหาก็มี”
อีกอย่างภาพถ่ายต้นฉบับพอร์เทรตหายากและมีน้อยกว่าภาพต้นฉบับที่เป็นภาพพระราชกรณียกิจหลายเท่า เนื่องจากเวลาเสด็จพระราชดำเนินในยุคนั้น ช่างภาพท้องถิ่นสามารถทำเรื่องขอถ่ายภาพพระองค์ได้
นนจึงเลือกสะสมภาพพระราชกรณียกิจบางภาพที่ชอบและเกี่ยวข้องกับเกาะสมุยหรือไม่ก็จังหวัดสุราษฎร์ธานี ซึ่งเป็นชุมชนที่เขาอยู่
“สะสมรูปถ่ายพระองค์มากมายขนาดนี้ ชอบรูปไหนเป็นพิเศษ?”—เราถาม
นนตอบว่า มี 3 ภาพที่ผมรักที่สุด และผมจะให้คุณดู…
ภาพที่ 1: ภาพที่ไม่มีใครเคยเห็น
ภาพนี้นนใช้คำว่า “รักที่สุด” เพราะภาพหันข้างของพระองค์ที่เราเห็นกันทั่วๆ ไปไม่ใช่ภาพนี้
การฉายพระรูปทรงหันข้างทุกๆ วาระถือว่าสำคัญยิ่งเพราะจำเป็นต้องนำไปใช้เป็นต้นแบบในการพิมพ์ เช่น ธนบัตร และต้นแบบนูนต่ำบนเหรียญหมุนเวียน รวมถึงเหรียญตราที่ระลึกต่างๆ
สำหรับภาพนี้เมื่อนำมาเทียบเคียงทบทวนดูมีแค่ความใกล้เคียงเหรียญช่วงต้นรัชกาลฯ แต่ในตอนนี้ยังไม่พบว่าใช้เป็นต้นแบบบนเหรียญใด
“นักสะสมคนอื่นๆ ก็บอกว่าไม่เคยเจอภาพนี้ แม้แต่ภาพสำเนาที่คัดลอกไว้ ก็เคยเจอแค่สองภาพเท่านั้น”
ส่วนภาพที่เห็นอยู่ด้านล่าง คือภาพซึ่งถ่ายในวาระเดียวกัน และนนก็มีภาพต้นฉบับด้วยเช่นกัน
ภาพที่ 2: ภาพจากฟิล์มส่วนตัวของช่างภาพที่ถวายงานรับใช้
พระบรมฉายาลักษณ์ทรงยืนเต็มองค์นี้นักสะสมภาพเรียกสั้นๆ ว่า ภาพทรงชุดทหารเรือ
นนเล่าความพิเศษของภาพนี้ว่า หากมองผิวเผินอาจเข้าใจผิดคิดว่าคือภาพเดียวกับทรงชุดทหารเรือที่พระราชทานให้เห็นกันโดยทั่วไป แต่หากสังเกตดีๆ จะเห็นว่าเป็นภาพถ่ายที่ศิลปินช่างภาพล้างเก็บไว้
โดยปกติแล้วช่างภาพจะนำฟิล์มมาล้างเป็นภาพให้ทรงเลือก แล้วก็ถวายทั้งภาพทั้งฟิล์ม และกลายเป็นสมบัติของราชสำนัก แต่ก็จะมีอีกกรณี คือช่างภาพล้างแต่ภาพขึ้นถวายแล้วเก็บฟิล์มไว้เอง ซึ่งสุดท้ายถ้าฟิล์มไม่หาย ก็อาจตายไปกับช่างภาพโดยที่ไม่มีใครรู้
จุดสังเกตคือถ้าเป็นพระบรมฉายาลักษณ์พระราชทานทั่วไป (ภาพบนในกรอบรูป) ตุ้มกระบี่จะไม่ตรงแถบกางเกง และถุงมือมีลักษณะห่อๆ
ส่วนใบที่ชัดกว่าและไม่ได้ใช้พระราชทานโดยทั่วไป ตุ้มกระบี่ห้อยตรงกับแถบกางเกง ส่วนถุงมือจะมีลักษณะบานออก
แต่ถึงแม้จะชอบพระบรมฉายาลักษณ์บานนี้เป็นพิเศษ แต่นนก็รักพระบรมฉายาลักษณ์ต้นฉบับที่พระราชทานเผยแพร่โดยทั่วไป ซึ่งได้มาสะสมก่อนหน้าด้วยเช่นกัน
ภาพที่ 3: ภาพประทับยืนคู่สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9
หากนักสะสมภาพเก่าเห็นพระบรมฉายาลักษณ์ใบนี้ จะทราบดีว่าเป็นภาพถ่ายที่สมบูรณ์และชัดเจนสวยงามมาก ซึ่งเป็นพระบรมฉายาลักษณ์ที่ทั้งสองพระองค์ยืนถ่ายคู่กันจริงๆ ไม่ได้ผ่านการไดคัต
อีกทั้งโดยปกติแล้วภาพลักษณะนี้ฉลองพระองค์จะต้องเป็นอย่างเดียวกันเช่น แต่งเต็มพระยศแพรแถบสายสะพายต่างๆ ตามธรรมเนียมการแต่งกาย
แต่การฉายพระรูปทรงยืนคู่ภาพนี้ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 ฉลองพระองค์ชุดไทยพระราชนิยมไม่ประดับเครื่องอิสริยาภร์ใดๆ
ไขข้อข้องใจ ทำไมพระบรมฉายาลักษณ์รัชกาลที่ 9 หลายภาพจึงเพิ่งถูกเผยแพร่
สาเหตุที่พระบรมฉายาลักษณ์รัชกาลที่ 9 หลายภาพเพิ่งถูกเผยแพร่ เนื่องจากในสมัยก่อน หลังจากศิลปินผู้ถ่ายภาพและล้างภาพเสร็จแล้ว จะมีการถวายพระบรมฉายาลักษณ์ให้พระองค์ท่านอยู่ 3 กรณี คือ
- ศิลปินผู้นั้นเป็นผู้เลือกพระบรมฉายาลักษณ์ถวายเอง
- ศิลปินเลือกพระบรมฉายาลักษณ์ร่วมกับพระองค์
- พระองค์ทรงเลือกพระบรมฉายาลักษณ์ด้วยพระองค์เอง
ดังนั้น ศิลปินช่างภาพจึงมีพระบรมฉายาลักษณ์และฟิล์มส่วนที่เก็บไว้ส่วนตัว หลังอาจารย์ ว. เต๊กหมิ่น (วิจิตร วังส์ไพจิตร เจ้าของห้องภาพวิจิตรจำลอง สี่พระยา ช่างภาพที่รัชกาลที่ 9 ทรงให้เกียรติในฐานะศิลปินอาวุโส) เสียชีวิต ทางพระราชวังมีการเชิญช่างภาพจากต่างประเทศมาฉายพระรูปอยู่หลายครั้ง ทำให้ภาพรัชกาลที่ 9 บางภาพที่เราไม่เคยเห็นจึงไปปรากฏอยู่ที่ต่างประเทศ และบางภาพเพิ่งมีการเผยแพร่หลังเสด็จสวรรคต
เราถามนนว่า ยังมีพระบรมฉายาลักษณ์ต้นฉบับรัชกาลที่ 9 ภาพไหนที่อยากได้อีกไหม?
นนกดโทรศัพท์มือถือแสดงภาพใบนั้นให้ดู…
นนเล่าว่า “ภาพนี้มีภาพเก่าต้นฉบับที่หลุดมาครั้งเดียวใบเดียว และตอนนี้อยู่ที่ใครผมไม่ทราบเลย เป็นภาพต้นฉบับดิบๆ ล้างเต็มฟิล์ม ถ้าสังเกตจะเห็นว่าปีกข้างผ้าฉากยังไม่ตัดทิ้งเลย”
นน และ วัชรพล ทยอยขุดพระบรมฉายาลักษณ์รัชกาลที่ 9 มาให้ดู ไม่ว่าจะหยิบภาพกี่ใบต่อกี่ใบ ก็ล้วนมีเรื่องราวที่น่าสนใจทั้งสิ้น
น่าเสียดายที่พระบรมฉายาลักษณ์ส่วนใหญ่ที่เขาสะสมอยู่บ้านพักที่เกาะสมุย ส่วนที่เราเห็นในกรุงเทพฯ นี้ คือรูปถ่ายแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น
พระบรมฉายาลักษณ์เก่าๆ ของรัชกาลที่ 9 เป็นเสมือนเครื่องบันทึกประวัติศาสตร์ แม้เราจะไม่มีโอกาสติดตามถวายงานใกล้ชิด แต่หลากหลายเรื่องราวของพระองค์ก็ปรากฏผ่านพระบรมฉายาลักษณ์เหล่านี้ได้อย่างดี และมีเสน่ห์ควรค่าแก่การเก็บรักษาเพื่อน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้ของพระองค์
พระเจ้าแผ่นดินที่สถิตในดวงใจของคนไทยทุกคน.
- พระบรมฉายาลักษณ์ทั้ง 3 ใบในบทความนี้ ถ่ายโดย วิจิตร วังส์ไพจิตร (ว. เต๊กหมิ่น) เจ้าของห้องภาพวิจิตรจำลอง สี่พระยา ช่างภาพคนสำคัญที่รัชกาลที่ 9 ทรงให้เกียรติในฐานะศิลปินอาวุโส ซึ่งท่านเคยฉายพระรูปพระบรมวงศานุวงศ์มากมายหลายพระองค์มาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 7 เรื่อยมา และโปรดเกล้าฯ ให้ฉายพระรูปในช่วงต้นรัชกาล
ดังนั้นพระบรมฉายาลักษณ์รัชกาลที่ 9 เมื่อต้นรัชกาลโดยมากล้วนมาจากฝีมือท่าน มีภาพถ่ายบุคคลสำคัญๆ ของไทยมากมาย เช่น ภาพถ่ายอาจารย์ศิลป์ พีระศรี ก็มาจากฝีมือของ ว. เต๊กหมิ่น
- เสน่ห์ของภาพเก่า ในสมัยก่อนการล้างภาพมีขั้นตอนที่ละเอียดมาก ทั้งเทคนิคการใช้เครื่องอัดขยาย และล้างภาพในห้องมืด เนื้อกระดาษ และสูตรน้ำยาล้างภาพของช่างภาพแต่ละคนที่ต่างกัน
สำหรับพระบรมฉายาลักษณ์พระราชทาน ก็จะมีลักษณะกระดาษที่ต่างกัน เช่น พระบรมฉายาลักษณ์ที่พระราชทานให้สื่อมวลชนก็จะมีเนื้อกระดาษคุณภาพด้อยกว่าที่พระราชทานให้บุคคลใกล้ชิด หรือเอกอัครราชทูต เป็นต้น