×

TDRI ชำแหละ ‘วัดไทย’ จากสะพานบุญสู่แหล่งฟอกเงิน ชี้ ช่องโหว่ใหญ่ที่ต้องรีบอุด

โดย THE STANDARD TEAM
20.05.2025
  • LOADING...

สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) ได้ฉายภาพอีกด้านที่น่ากังวลท่ามกลางพลังศรัทธาของพุทธศาสนิกชนชาวไทยที่มีต่อวัดมายาวนาน ผ่าน รายงานฉบับที่ 199

 

โดยเจาะลึกถึงความเสี่ยงที่วัดอาจถูกใช้เป็นเครื่องมือในการฟอกเงินและกระทำความผิดทางการเงินอื่นๆ

 

รายงานนี้ชี้ให้เห็นว่า แม้วัดจะมีบทบาทหลักในการเป็นศูนย์รวมจิตใจและประกอบกิจกรรมทางศาสนา แต่ด้วยช่องว่างในการกำกับดูแลทางการเงิน ทำให้บุคคลบางกลุ่มอาศัยความศรัทธาและเงินบริจาคจำนวนมหาศาลเพื่อแสวงหาประโยชน์ส่วนตน หรือใช้เป็นแหล่งฟอกเงิน

 

‘ศรัทธาบังหน้า’ เปิดช่องโหว่การเงินวัดไทย

 

คดีสำคัญที่สั่นสะเทือนวงการพระพุทธศาสนาในอดีต ไม่ว่าจะเป็นคดีหลวงปู่เณรคำ ที่มีการใช้วัดเป็นฉากหน้าระดมเงินบริจาคเพื่อสร้างพระแก้วมรกตจำลองและโรงพยาบาล แต่กลับนำเงินไปใช้จ่ายส่วนตัวอย่างฟุ่มเฟือย ทั้งซื้อที่ดิน สร้างบ้าน และรถยนต์ราคาแพง

 

ยังมีคดีเงินทอนวัด ในช่วงปี 2561 ที่เผยให้เห็นถึงการทุจริตเงินอุดหนุนวัดโดยเจ้าหน้าที่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) ร่วมกับวัดบางแห่ง โดยวัดจะต้องคืนเงินส่วนหนึ่งจากงบประมาณที่ได้รับอนุมัติให้แก่เจ้าหน้าที่ คิดเป็นมูลค่าความเสียหายสูงถึง 270 ล้านบาท

 

รายงาน TDRI ระบุว่า ความศรัทธาของประชาชนที่หลั่งไหลมาในรูปแบบของเงินบริจาคจำนวนมาก โดยเฉพาะเงินสด กลายเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้วัดมีความเสี่ยง การที่วัดไม่ได้มีกิจกรรมหลักในการระดมทุนเพื่อแสวงหากำไร ทำให้การตรวจสอบเส้นทางการเงินมีความซับซ้อนน้อยกว่าองค์กรธุรกิจทั่วไป เมื่อประกอบกับการขาดระบบบัญชีที่รัดกุมและโปร่งใส ทำให้ยากต่อการติดตามและตรวจสอบที่มาที่ไปของเงินได้อย่างแท้จริง

 

  • คดีหลวงปู่เณรคำ เป็นตัวอย่างชัดเจนของการใช้ศรัทธาแสวงหาประโยชน์ส่วนตน โดยมีการหลอกระดมเงินบริจาคเพื่อโครงการต่างๆ แต่เงินกลับถูกโอนเข้าบัญชีส่วนตัวและนำไปใช้จ่ายอย่างฟุ่มเฟือย
  • คดีเงินทอนวัด เผยให้เห็นถึงการทุจริตเชิงระบบที่เจ้าหน้าที่รัฐใช้ช่องว่างของงบอุดหนุนวัดในการเรียกรับสินบน โดยใช้วัดเป็นทางผ่านของเงิน
  • กรณีวัดสระเกศราชวรมหาวิหาร หนึ่งในวัดดังที่ถูกตรวจสอบและพบเส้นทางการเงินในบัญชีเจ้าอาวาสกว่า 130 ล้านบาท และมีการโอนให้ฆราวาสถึง 69 ล้านบาท

 

การที่เรื่องอื้อฉาวเหล่านี้เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า ย่อมส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของประชาชน และทำให้เกิดคำถามถึงธรรมาภิบาลในการบริหารจัดการวัดอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

 

ความเปราะบางเชิงโครงสร้าง ‘วัดมาก เงินอุดหนุนสูง กฎหมายตามไม่ทัน’

 

รายงาน TDRI ชี้ให้เห็นถึงปัจจัยเชิงโครงสร้างหลายประการที่ทำให้วัดไทยมีความเปราะบางต่อการถูกใช้เป็นเครื่องมือในการกระทำความผิดทางการเงิน

 

  1. จำนวนวัดที่มหาศาลและการกระจายตัว: ประเทศไทยมีวัดจำนวนมากถึง 41,310 แห่ง (ข้อมูลปี 2562) กระจายอยู่ทั่วประเทศ จำนวนที่มากนี้ทำให้การกำกับดูแลให้ทั่วถึงเป็นเรื่องท้าทาย และเพิ่มความเสี่ยงหากการตรวจสอบไม่เข้มแข็งพอ

 

  1. เงินอุดหนุนจากภาครัฐ: วัดที่ขึ้นทะเบียนกับสำนักงาน พศ. จะได้รับเงินอุดหนุนจากรัฐบาลเพื่อกิจกรรมทางศาสนา 3 ประเภทหลัก ได้แก่ การบูรณะวัด การศึกษาพระปริยัติธรรม และการเผยแผ่ศาสนา

 

ข้อมูลจากสำนักงบประมาณปี 2556-2562 พบว่าเงินอุดหนุนวัดทั่วประเทศมีมูลค่าเฉลี่ยมากกว่าปีละ 3,000 ล้านบาท และบางปีสูงถึงกว่า 4,500 ล้านบาท (ปี 2559-2560) เงินจำนวนมหาศาลนี้ หากขาดการตรวจสอบที่เข้มงวด อาจกลายเป็นช่องทางให้เกิดการทุจริตคอร์รัปชันได้ ดังเช่นกรณีเงินทอนวัดที่เจ้าหน้าที่ พศ. ซึ่งมีอำนาจอนุมัติงบ ใช้วัดเป็นช่องทางรับโอนเงิน

 

  1. ธุรกรรมเงินสดจำนวนมากและรายได้หลากหลาย: นอกเหนือจากเงินอุดหนุนภาครัฐ วัดยังมีรายได้จากกิจกรรมอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับเงินสดจำนวนมาก เช่น การให้เช่าวัตถุมงคล การให้เช่าที่ดินธรณีสงฆ์ และเงินบริจาคทั่วไป

 

ผลการศึกษาของ ผศ. ดร.ณดา จันทร์สม (ปี 2555) ที่สำรวจวัด 490 แห่ง พบว่ารายรับรวมเฉลี่ยของวัดอยู่ที่ประมาณ 3.24 ล้านบาทต่อปี โดยส่วนใหญ่เป็นเงินบริจาคเพื่อวัตถุประสงค์เฉพาะ (เฉลี่ย 2.02 ล้านบาท/ปี) รองลงมาคือรายรับจากการสร้างเครื่องบูชา (เฉลี่ย 1.46 ล้านบาท/ปี) และเงินบริจาคในโอกาสพิเศษ (เฉลี่ย 1.05 ล้านบาท/ปี)

 

กฎหมายมี แต่การบังคับใช้ยังอ่อนแอ

 

แม้ประเทศไทยจะมีพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 และกฎกระทรวง ฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2511) ที่กำหนดให้กรมการศาสนา (ปัจจุบันคือสำนักงาน พศ.) วางแบบแผนการทำบัญชี และให้วัดจัดทำบัญชีรายรับรายจ่ายส่งสำนักงาน พศ. จังหวัดทุกเดือน แต่ในทางปฏิบัติกลับพบปัญหาสำคัญ

 

  • มาตรฐานบัญชีไม่ชัดเจน: การจัดทำบัญชีของวัดมักเป็นเพียงการบันทึกรับจ่ายแบบง่ายๆ ไม่ซับซ้อน และไม่ได้เป็นไปตามมาตรฐานการบัญชีสากล

 

  • เจ้าอาวาสขาดความรู้หรือมอบอำนาจ: เจ้าอาวาสซึ่งมักมีอายุมาก อาจไม่มีความรู้ด้านการทำบัญชีเพียงพอ และมักมอบอำนาจให้คณะกรรมการวัดหรือไวยาวัจกรดำเนินการแทน ซึ่งหากบุคคลเหล่านั้นขาดความซื่อสัตย์สุจริต ก็อาจเกิดการทุจริตได้โดยที่เจ้าอาวาสอาจไม่รู้เห็น

 

  • การเปิดเผยข้อมูลจำกัด: กฎกระทรวงกำหนดให้เก็บรักษาบัญชีไว้ที่วัดเพื่อการตรวจสอบเมื่อมีการร้องเรียน หรือเพื่อขอเครื่องราชฯ และให้ส่งรายงานให้ พศ. จังหวัด แต่ไม่ได้กำหนดให้ต้องเปิดเผยต่อสาธารณชนอย่างชัดเจน ทำให้ประชาชนผู้บริจาคไม่สามารถตรวจสอบได้ว่าเงินทำบุญถูกนำไปใช้อย่างไร

 

  • อัตราการส่งรายงานต่ำ: ข้อมูลจากคณะกรรมาธิการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศฯ พบว่าในช่วงปี 2556-2558 มีวัดที่ส่งรายงานทางการเงินให้ พศ. ไม่ถึง 20,000 แห่ง หรือคิดเป็นไม่ถึง 50% ของวัดที่ขึ้นทะเบียนทั่วประเทศ แม้จำนวนจะเพิ่มขึ้นในปี 2558 เป็น 19,089 แห่ง แต่ก็ยังไม่ครอบคลุมทั้งหมด

 

ช่องว่างเหล่านี้ล้วนเป็นปัจจัยที่เอื้อให้การบริหารจัดการการเงินของวัดขาดความโปร่งใส และเพิ่มความเสี่ยงที่จะถูกใช้ในทางที่ผิด

 

ส่องธรรมนูญการเงินศาสนาต่างแดน บทเรียนสู่การปฏิรูปวัดไทย

 

รายงานของ TDRI ได้ศึกษาแนวทางการกำกับดูแลองค์กรศาสนาในต่างประเทศหลายแห่ง ซึ่งมีมาตรการที่น่าสนใจและอาจเป็นประโยชน์ในการปรับใช้กับประเทศไทย

 

  • เยอรมนี: คริสตจักรมีสถานะเป็นบรรษัทภายใต้กฎหมายมหาชน และมีการเก็บภาษีคริสตจักร เพื่ออุดหนุน องค์กรศาสนาอื่นที่ต้องการการยกเว้นภาษีหรือเงินอุดหนุน ต้องจดทะเบียนเป็นองค์กรไม่แสวงหากำไรกับสำนักงานสรรพากรของรัฐ และต้องรายงานทางการเงินที่ตรวจสอบโดยบุคคลที่สาม นอกจากนี้ยังต้องเปิดเผยข้อมูลผู้ได้รับประโยชน์ (beneficial owner) โดยเฉพาะกรรมการ เพื่อป้องกันการฟอกเงินและการก่อการร้าย

 

  • ฝรั่งเศส: มีกฎหมายแยกศาสนจักรออกจากรัฐอย่างชัดเจน (ปี 1905) องค์กรศาสนาที่ต้องการสิทธิพิเศษทางภาษีหรือเงินอุดหนุน ต้องจดทะเบียนเป็นสมาคมด้านศาสนา (associations of worship) หรือ สมาคมด้านวัฒนธรรม(cultural associations) ซึ่งแต่ละประเภทมีเงื่อนไขและสิทธิประโยชน์ต่างกัน รัฐบาลฝรั่งเศสยังมี ระบบทะเบียนสมาคมแห่งชาติ(RNA) เพื่อรวบรวมข้อมูลและสนับสนุนการตรวจสอบเพื่อป้องกันอาชญากรรมทางการเงิน

 

  • อิตาลี: ให้เสรีภาพในการจัดตั้งสถาบันศาสนาโดยไม่ต้องขึ้นทะเบียน แต่หากต้องการสิทธิประโยชน์จากรัฐ ต้องขึ้นทะเบียนกับกรมสรรพากรและกระทรวงมหาดไทย โดยต้องเปิดเผยข้อมูลสำคัญ เช่น ชื่อองค์กร กิจกรรม เจ้าหน้าที่ รายงานการเงิน 3 ปี และหลักฐานรับรองสถานะเครดิต กระทรวงมหาดไทยมีหน้าที่ติดตามตรวจสอบการเงินและการบริหารจัดการ ยกเว้นคริสตจักรคาทอลิกที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของทั้งรัฐและสันตะสำนัก (นครรัฐวาติกัน) โดยสถาบันเพื่องานศาสนา (IOR) ของวาติกันจะจัดทำรายงานการเงินรายปีที่ผ่านการตรวจสอบและรายงานต่อหน่วยงานป้องกันการฟอกเงินของวาติกัน

 

  • ศรีลังกา: ศาสนาหลัก 4 ศาสนา (พุทธ อิสลาม ฮินดู คริสต์) ไม่ต้องจดทะเบียน แต่ศาสนาอื่นต้องจดทะเบียนเพื่อดำเนินกิจกรรมและรับเงินอุดหนุน สำหรับการกำกับดูแลวัดพุทธ มีกฎหมายว่าด้วยการบริหารจัดการทรัพย์สินของวัด(Buddhist Temporalities Ordinance) กำหนดให้วัดต้องตั้งกรรมการ (trustee) บริหารทรัพย์สิน ซึ่งมักเป็นเจ้าอาวาส กฎหมายนี้จำกัดอำนาจกรรมการในการขายทรัพย์สินวัด และห้ามใช้ทรัพย์สินนอกเหนือจากการทำนุบำรุงวัด สนับสนุนพิธีกรรม ช่วยเหลือผู้ยากไร้ และจ่ายค่าจ้าง กรรมการต้องจัดทำงบการเงินรายงานต่อสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดทุก 6 เดือน หากผิดระเบียบมีโทษปรับ รวมถึงมีบทลงโทษเจ้าอาวาสที่ไม่จัดทำข้อมูลการเงินให้ผู้ตรวจการ TDRI ชี้ว่าแม้โครงสร้างการบริหารวัดจะคล้ายไทย แต่ศรีลังกามีการกำหนดมาตรการตรวจสอบ การรายงานการเงิน และบทลงโทษที่ชัดเจนกว่าไทยมาก

 

บทเรียนจากต่างประเทศเหล่านี้ชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของการมีกรอบกฎหมายที่ชัดเจน การกำหนดมาตรฐานการรายงานทางการเงิน การตรวจสอบจากภายนอก และการเปิดเผยข้อมูลต่อสาธารณะ ซึ่งเป็นสิ่งที่ประเทศไทยยังต้องพัฒนาอีกมาก

 

เพื่อป้องกันมิให้วัดถูกใช้เป็นเครื่องมือในการกระทำความผิด และเพื่อธำรงไว้ซึ่งศรัทธาของพุทธศาสนิกชน TDRI ได้เสนอมาตรการป้องกันเบื้องต้น ทั้งในเชิงกฎหมายและนโยบาย

 

  1. กำหนดแบบบัญชีมาตรฐาน: สำนักงาน พศ. ต้องจัดทำแบบบันทึกบัญชีรายรับรายจ่ายของวัดที่เป็นมาตรฐานเดียวกันให้ทุกวัดใช้ เพื่อให้การรายงานเป็นระบบและเปรียบเทียบได้

 

  1. บังคับส่งรายงานและติดประกาศ: หลังจากวัดจัดทำรายงานบัญชีตามแบบมาตรฐานแล้ว ต้องนำส่งสำนักงาน พศ. จังหวัดทุก 1 เดือน และ ต้องติดประกาศ บัญชีรายรับรายจ่ายของวัดในป้ายประกาศบริเวณวัดที่พุทธศาสนิกชนสามารถเข้าไปตรวจสอบได้อย่างชัดเจน เพื่อสร้างความโปร่งใสและความสบายใจแก่ผู้บริจาค

 

  1. เพิ่มอำนาจ พศ. จังหวัดในการตรวจสอบ: กำหนดให้สำนักงาน พศ. แต่ละจังหวัดมีหน้าที่และอำนาจที่ชัดเจนในการตรวจสอบข้อมูลรายงานบัญชีของทุกวัดในพื้นที่ รวมถึงให้คำแนะนำที่เป็นประโยชน์ต่อการบริหารงานของวัด

 

รายงานของ TDRI ฉบับนี้ เปรียบเหมือนเสียงระฆังเตือนให้ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องหันมาให้ความสำคัญกับการปฏิรูประบบการบริหารจัดการการเงินของวัดอย่างจริงจัง การปล่อยให้ช่องโหว่ยังคงดำรงอยู่ ไม่เพียงแต่จะเปิดทางให้เกิดการทุจริตและการฟอกเงิน แต่ยังบั่นทอนศรัทธาของประชาชนที่มีต่อสถาบันพระพุทธศาสนา ซึ่งเป็นเสาหลักของสังคมไทย

 

สามารถอ่านรายงานฉบับเต็ม ‘วัดกับความเสี่ยงที่จะถูกใช้เพื่อฟอกเงิน’ ได้ที่ รายงานทีดีอาร์ไอ ฉบับที่ 199 https://tdri.or.th/wp-content/uploads/2023/04/wb199.pdf

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising