สถานการณ์โควิดในสหรัฐฯ ตอนนี้ยังมีผู้ติดเชื้อรายใหม่มากกว่า 150,000 คนต่อวัน และเสียชีวิตกว่า 1,500 คนต่อวัน ขณะที่ยอดผู้เสียชีวิตสะสม ณ วันที่ 11 กันยายน 2021 ก็สูงกว่า 656,000 คนไปแล้ว สำนักข่าว CNN รายงานว่ายอดผู้เสียชีวิตดังกล่าวซึ่ง ‘เกือบจะแน่นอน’ ว่ารายงานต่ำกว่าความเป็นจริงนั้น กำลังจะเทียบเท่ายอดผู้เสียชีวิตในการระบาดของไข้หวัดใหญ่เมื่อปี 1918 (ที่หลายคนอาจจะเรียกว่า ‘ไข้หวัดใหญ่สเปน’)
อย่างไรก็ตาม เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา โจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้สรุปแผนการใหม่ในการรับมือกับโควิดที่มีเป้าหมายเพื่อให้ชาวอเมริกันได้รับวัคซีนมากขึ้น ลดการเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลและการเสียชีวิต ทำให้เด็กๆ สามารถไปโรงเรียนได้อย่างปลอดภัย รวมถึงยังรักษาเศรษฐกิจให้แข็งแกร่ง การแถลงดังกล่าวมาพร้อมกับประโยคสำคัญที่สื่อสารตรงไปยังผู้ที่ยังไม่ได้รับวัคซีนว่า “เราอดทนมาโดยตลอด และตอนนี้ความอดทนนั้นก็เหลือน้อยลงทุกที”
แผนดังกล่าวครอบคลุมทั้งสิ้น 6 ด้าน และมีใจความสำคัญ ดังนี้
- การฉีดวัคซีนให้กับผู้ที่ยังไม่ได้ฉีด ซึ่งมาพร้อมกับข้อบังคับแก่คนทำงานทั้งภาครัฐและเอกชน
- ไบเดนสั่งให้กระทรวงแรงงานกำหนดข้อบังคับให้นายจ้างที่มีพนักงานมากกว่า 100 คนจะต้องกำหนดให้มีการฉีดวัคซีนหรือการตรวจหาเชื้อเป็นปกติ และกระทรวงแรงงานจะกำหนดให้นายจ้างที่มีลูกจ้างตั้งแต่ 100 คนขึ้นไป ต้องจ่ายค่าจ้างให้กับลูกจ้างในเวลาที่ลางานไปฉีดวัคซีนด้วย นอกจากนี้ ไบเดนยังจะลงนามในคำสั่งทางบริหาร 2 ฉบับ ออกข้อกำหนดให้ลูกจ้างของรัฐบาลกลางในฝ่ายบริหารจะต้องฉีดวัคซีนทุกคน เช่นเดียวกับผู้ปฏิบัติงานตามสัญญาจ้างของรัฐบาลกลาง อนึ่ง นี่ยังเป็นขั้นตอนที่ถูกคาดหวังว่าจะช่วยกระตุ้นให้เกิดมาตรการที่คล้ายกันในภาคเอกชนด้วย
- ย้อนกลับไปเมื่อเดือนที่แล้ว ไบเดนก็ลงนามในคำสั่งให้บรรดาสถานรับดูแลบุคคลที่รับเงินสนับสนุนจากแผนประกันสุขภาพ Medicare และโปรแกรมสุขภาพ Medicaid ให้ฉีดวัคซีนแก่ผู้ปฏิบัติงานด้วย ปรากฏว่าไบเดนจะขยายข้อกำหนดการฉีดวัคซีนไปยังผู้ปฏิบัติงานในโรงพยาบาล การบริการสุขภาพที่บ้าน ตลอดจนสถานบริการทางการแพทย์อื่นๆ ด้วย
- ทีมงานของ CNN เผยข้อมูลว่า จากการสำรวจของ Gallup ในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา มีลูกจ้างราวร้อยละ 19 ที่บอกว่านายจ้างกำหนดให้ฉีดวัคซีนโควิดก่อนกลับมาปฏิบัติงานในสถานที่ทำงาน ซึ่งสัดส่วนนี้เพิ่มจากร้อยละ 9 ในเดือนกรกฎาคม นอกจากนี้ยังมีนายจ้างอีกร้อยละ 55 ที่กระตุ้นให้ลูกจ้างรับวัคซีนแม้จะไม่บังคับก็ตาม ส่วนโพลของ ABC News และ Washington Post ชี้ว่าแม้ในสถานที่ทำงานที่ไม่มีข้อบังคับเรื่องการฉีดวัคซีน ก็มีลูกจ้างเพียงส่วนน้อย (น้อยกว่า 1 ใน 3) ที่ยังไม่ได้รับวัคซีน ทว่าลูกจ้างส่วนใหญ่ในกลุ่มที่ยังไม่ได้รับวัคซีนซึ่งเป็นส่วนน้อยนี้บอกว่ายอมลาออกดีกว่าที่จะฉีดวัคซีน
- ฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น เพิ่มการป้องกันให้กับผู้ที่ได้รับวัคซีนแล้ว
- ผู้ที่เคยได้รับวัคซีนของ Pfizer-BioNTech บางส่วนจะพร้อมสำหรับการรับวัคซีนเข็มกระตุ้นตั้งแต่วันที่ 20 กันยายนนี้เป็นต้นไป อย่างไรก็ตาม ขณะนี้สำนักงานอาหารและยา (FDA) ของสหรัฐฯ ยังไม่ได้อนุมัติการใช้งานวัคซีนตัวนี้ให้เป็นเข็มกระตุ้น ซึ่ง FDA จะมีการจัดประชุมร่วมกับคณะกรรมการที่ปรึกษาเพื่อหารือและรับฟังข้อมูลเรื่องนี้ในวันที่ 17 กันยายนนี้ ขณะที่ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคสหรัฐฯ (CDC) เองก็ต้องประกาศแนวทางสำหรับบุคคลที่ควรจะได้รับวัคซีนเข็มกระตุ้นนี้เช่นกัน
- ล่าสุดเมื่อวันที่ 1 กันยายน ข้อมูลบนเว็บไซต์ของ CDC บอกว่าผู้ที่ควรจะได้วัคซีนเข็มกระตุ้นในสหรัฐฯ นั้นควรเป็นผู้ที่ได้รับวัคซีนชนิด mRNA (ของ Moderna และ Pfizer-BioNTech) มาแล้วไม่น้อยกว่า 8 เดือน ส่วนผู้ที่มีแนวโน้มจะได้รับวัคซีนเข็มกระตุ้นนี้ก่อนก็คือผู้ที่ได้รับวัคซีนเข็มแรกตั้งแต่ระยะแรกๆ เมื่อช่วงต้นปี 2021 เช่น ผู้ที่มีความเสี่ยงสูง บุคลากรทางสาธารณสุข ผู้พักอาศัยในสถานรับดูแลระยะยาว และผู้สูงอายุอื่น เป็นต้น แต่ CDC ระบุว่ายังไม่มีข้อมูลเพียงพอที่จะสนับสนุนให้ผู้ได้รับวัคซีนแบบเข็มเดียวของ Johnson & Johnson ไปก่อนหน้านี้มารับวัคซีนแบบ mRNA เป็นเข็มกระตุ้น บุคคลกลุ่มนี้จึงมีแนวโน้มที่จะต้องการวัคซีนเข็มกระตุ้นของ Johnson & Johnson อย่างไรก็ดี คาดว่าจะมีข้อมูลเพิ่มเติมในเรื่องนี้มากขึ้นในไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า ทั้งนี้ ต้องเน้นย้ำว่าจนถึงขณะนี้ วัคซีนเข็มหลักที่ได้รับอนุญาตให้ใช้งานในสหรัฐฯ มีเพียง 3 ตัว ได้แก่ Moderna, Pfizer-BioNTech, Johnson & Johnson เท่านั้น
- พยายามทำให้โรงเรียนยังคงเปิดต่อไป
- ไบเดนได้อาศัยอำนาจของเขาในการกำหนดให้ครูในโรงเรียนสังกัดกระทรวงกลาโหมต้องเข้ารับการฉีดวัคซีนไปแล้ว และจะกำหนดให้นักการศึกษากว่า 300,000 คนในโครงการของรัฐบาลกลางจะต้องเข้ารับการฉีดวัคซีนเช่นกัน เขายังเรียกร้องให้ผู้ว่าการรัฐออกข้อกำหนดเรื่องการฉีดวัคซีนสำหรับครูและบุคลากรทุกคน แต่ที่มากกว่านั้นคือท่าทีตรงไปตรงมาที่เขาเอ่ยปากว่ามีผู้ว่าการรัฐที่เลือกที่จะสู้กับเจ้าหน้าที่โรงเรียนในท้องถิ่นที่กำลังพยายามปกป้องเด็กๆ ให้ปลอดภัยจากโรคระบาด ซึ่งหากมีครูหรือเจ้าหน้าที่โรงเรียนรายใดที่ถูกระงับการจ่ายค่าจ้างเพราะทำในสิ่งที่ถูกต้อง รัฐบาลกลางจะจ่ายเงินนั้นคืนให้เอง
- สื่อสหรัฐฯ มองว่าท่าทีดังกล่าวของไบเดนเป็นการพุ่งเป้าไปที่กรณีที่ รอน เดอซานติส ผู้ว่าการรัฐฟลอริดา กำลังต่อสู้กับบรรดาเจ้าหน้าที่โรงเรียนและนักการศึกษา โดยก่อนหน้านี้ในช่วงฤดูร้อน เดอซานติสได้ลงนามในคำสั่งห้ามให้โรงเรียนในรัฐออกข้อกำหนดให้นักเรียนสวมหน้ากากเมื่อพวกเขากลับสู่ห้องเรียนในฤดูใบไม้ร่วง โดยให้เป็นการตัดสินใจของผู้ปกครองมากกว่าที่จะเป็นของเจ้าหน้าที่โรงเรียน และยังขู่จะระงับการจ่ายค่าจ้างแก่เจ้าหน้าที่ของโรงเรียนที่ขัดขืนคำสั่งดังกล่าว
- ทั้งนี้ ขณะที่ปีการศึกษากำลังเริ่มต้นขึ้น โรงเรียนทั่วสหรัฐฯ กำลังต้องรับมือกับการที่ครูและนักเรียนต้องกักตัว ซึ่งกระทบต่อการกลับคืนสู่ภาวะปกติ และมีรายงานว่าเขตการศึกษา Los Angeles Unified School district ในนครลอสแอนเจลิสกลายเป็นเขตการศึกษาใหญ่แห่งแรกของประเทศที่ประกาศข้อบังคับให้นักเรียนที่มีอายุมากกว่า 12 ปี และกำลังจะเข้าชั้นเรียนแบบต่อหน้า ให้ต้องเข้ารับการฉีดวัคซีนโควิด
- เพิ่มการตรวจหาเชื้อและการสวมหน้ากาก
- ไบเดนใช้กฎหมาย Defense Production Act ในการเพิ่มการผลิตชุดตรวจแบบ Rapid Test และได้ทำงานร่วมกับผู้ค้าปลีก อาทิ Walmart, Amazon และ Kroger ซึ่งภายในไม่เกินสัปดาห์นี้ ร้านค้าเหล่านี้จะเริ่มขายชุดตรวจ Rapid Test ที่ราคาต้นทุนเป็นเวลา 3 เดือน ซึ่งจะเป็นการลดราคาชุดตรวจแบบใช้ที่บ้านลงทันทีสูงสุด 35% และจะมีการขยายการตรวจหาเชื้อฟรีที่ร้านขายยากว่า 10,000 แห่งทั่วประเทศ รวมถึงให้คำมั่นว่าจะใช้เงินกว่า 2 พันล้านดอลลาร์ในการซื้อชุดตรวจ Rapid Test เกือบ 300 ล้านชุดเพื่อกระจายไปยังศูนย์สุขภาพชุมชน โรงเรียน และธนาคารอาหาร (Food Bank) เพื่อให้ชาวอเมริกันทุกคนเข้าถึงการตรวจที่ฟรีและสะดวกได้ไม่ว่าจะมีรายได้ระดับใด
- นอกจากนี้ไบเดนยังประกาศว่าหน่วยงานด้านความปลอดภัยในการขนส่ง (TSA) จะเพิ่มค่าปรับเป็นสองเท่าสำหรับผู้เดินทางที่ปฏิเสธที่จะสวมหน้ากากอนามัยด้วย ภายใต้ประโยคของไบเดนที่ว่า “ถ้าคุณฝ่ากฎ ก็เตรียมตัวจ่าย”
- ฟื้นฟูเศรษฐกิจ
- มาตรการระงับการไล่ออกจากที่อยู่อาศัยและการประกันการว่างงานนั้นหมดอายุลงไปแล้ว อย่างไรก็ตาม ไบเดนประกาศว่าจะขยายโครงการเงินกู้ Economic Injury Disaster Loan เพื่อให้ธุรกิจขนาดเล็กกู้เงินได้เพิ่มจากปัจจุบันที่ 5 แสนดอลลาร์สหรัฐ กลายเป็น 2 ล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นเงินกู้ระยะยาวและดอกเบี้ยต่ำ หากยอดขายของธุรกิจนั้นๆ ได้รับผลกระทบจากโควิด ขณะที่อีกด้านหนึ่ง สำนักสถิติแรงงานของสหรัฐฯ เผยว่าตำแหน่งงานว่างในสหรัฐฯ ในเดือนกรกฎาคมก็เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 10.9 ล้านตำแหน่ง ซึ่งถือเป็นสถิติสูงสุดใหม่
- ปรับปรุงการดูแลผู้ป่วยโควิด
- โดยจะมีการเพิ่มความพร้อมในการใช้งานของยาที่จะช่วยผู้ป่วยโควิด ซึ่งไบเดนใช้คำว่าเป็นยาที่ “แนะนำโดยหมอตัวจริง ไม่ใช่นักทฤษฎีสมคบคิด” ไบเดนกล่าวว่าการรักษาโดยโมโนโคลนอลแอนติบอดี (Monoclonal Antibody) ถูกแสดงว่าช่วยลดความเสี่ยงในการเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลได้สูงสุดถึงร้อยละ 70 สำหรับผู้ที่ไม่ได้รับวัคซีนที่เสี่ยงต่อการเป็นโรคร้ายแรง ซึ่งมีการกระจายชุดการรักษาโดยโมโนโคลนอลแอนติบอดีไปแล้วกว่า 1.4 ล้านชุด และไบเดนประกาศว่าจะมีการเพิ่มความเร็วในการจัดส่งโมโนโคลนอลแอนติบอดีฟรีทั่วประเทศขึ้นอีก 50% นอกจากนี้ กระทรวงกลาโหมจะเพิ่มจำนวนทีมแพทย์ทหารที่พร้อมช่วยเหลือโรงพยาบาลที่มีภาระหนักทั่วประเทศขึ้นเป็นสองเท่าด้วย
ภาพ: Kevin Dietsch / Getty Images
อ้างอิง:
- https://www.fda.gov/news-events/press-announcements/fda-brief-fda-hold-advisory-committee-meeting-discuss-pfizer-biontechs-application-covid-19-booster
- https://www.cdc.gov/coronavirus/2019-ncov/vaccines/booster-shot.html
- https://edition.cnn.com/2021/09/10/politics/what-matters-biden-covid-plan/index.html
- https://www.businessinsider.com/biden-to-restore-pay-of-school-officials-punished-for-defying-mask-bans
- https://www.nytimes.com/2021/09/09/us/politics/biden-vaccine-mandates-transcript.html