วันนี้ (9 กุมภาพันธ์) หลังรอคอยมา 448 วัน ในที่สุดร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ป.พ.พ.1448) หรือร่าง พ.ร.บ.สมรสเท่าเทียม ก็เข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) นับจากวันแรก 18 มิถุนายน 2563 ซึ่งเป็นเดือนแห่งความหลากหลายทางเพศ ที่กฎหมายสมรสเท่าเทียมยื่นเข้าสู่สภาผู้แทนราษฎรผ่านกระบวนรับฟังความคิดเห็นตามมาตรา 77 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ถือว่าเป็นกฎหมายที่ประชาชนเข้ามาแสดงความคิดเห็นมากที่สุดในประวัติศาสตร์การเมืองไทย
#สมรสเท่าเทียม เกิดจากการเสนอร่างกฎหมายโดย ส.ส. ธัญวัจน์ กมลวงศ์วัฒน์ และคณะจากพรรคก้าวไกล ได้เสนอร่าง พ.ร.บ.แก้ไขประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ฯ (ขอย่อว่า ป.พ.พ. หรือร่างแก้ไข ป.พ.พ.) ต่อประธานสภาผู้แทนราษฎร ในเดือนมิถุนายน 2563 โดยร่างหลักการมีหลักการที่จะแก้ไข ป.พ.พ. มาตรา 1448 และมาตราที่เกี่ยวข้องใน ป.พ.พ. ที่มีเงื่อนไขเดิม อนุญาตการหมั้นและการสมรสเฉพาะชายและหญิง เปลี่ยนเป็นอนุญาตให้ ‘บุคคลทั้งสอง’ นั่นทำให้คู่รักหลากเพศ หรือ LGBTQ สามารถหมั้นและจดทะเบียนสมรสเป็นคู่สมรสที่ชอบด้วยกฎหมาย ได้รับสิทธิ หน้าที่ ศักดิ์ศรีเท่าเทียมกับคู่สมรสชายหญิงทั่วไป
เทรนด์ #สมรสเท่าเทียม ชี้ให้เห็นถึงความต้องการมีส่วนร่วมของประชาชนที่รอคอยการแก้ไขกฎหมายมานาน และต้องการเห็นความเท่าเทียมและเสมอภาคให้เกิดขึ้น
ท่ามกลางกระแส #สมรสเท่าเทียม ที่ผู้คนในโลกออนไลน์กำลังผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในสังคมไทย มี 9 เรื่องที่เราต้องทำความเข้าใจ ดังนี้
- เนื่องจากประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ของไทย (ป.พ.พ.) มาตรา 1448 บัญญัติให้สิทธิการสมรสเฉพาะเพศชายกับเพศหญิง ทำให้คู่รักหลากเพศ เช่น หญิงรักหญิง ชายรักชาย บุคคลรักได้ทั้งสองเพศ บุคคลข้ามเพศ บุคคลเพศกำกวม ฯลฯ (LGBTQ) ถูกจำกัดสิทธิ ไม่สามารถจดทะเบียนสมรสเป็นคู่สมรสที่ชอบด้วยกฎหมาย ทำให้ขาดสิทธิ หน้าที่ และศักดิ์ศรีที่พึงมีต่อกัน และพึงได้รับจากการใช้ชีวิตคู่ร่วมกัน
- การรับรองสิทธิการใช้ชีวิตคู่ตามร่าง พ.ร.บ.คู่ชีวิต ในฐานะ ‘คู่ชีวิต (Civil Partnerships)’ ไม่ปรากฏในประมวลกฎหมาย พระราชบัญญัติ หรือระเบียบของหน่วยงานภาครัฐและเอกชนใดๆ มาก่อน ดังนั้นจำเป็นต้องแก้ไขกฎหมายอื่นทั้งหมดที่เกี่ยวข้อง หากต้องการสิทธิใดๆ ในฐานะ ‘คู่ชีวิต’ ตามกฎหมายอื่น เช่น ประมวลกฎหมายอาญา ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ประมวลรัษฎากร พ.ร.บ.ประกันสังคม ฯลฯ
- การออก พ.ร.บ.คู่ชีวิตแยกออกจาก ป.พ.พ. ทำให้สุ่มเสี่ยงต่อการตีตรา การเลือกปฏิบัติ และการใช้ดุลยพินิจในการจำกัดสิทธิ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากกระบวนการหรือสถานที่สำหรับจดทะเบียนคู่ชีวิตมีการปฏิบัติที่แตกต่างจากการจดทะเบียนสมรสตาม ป.พ.พ. อาจถือเป็นเลือกปฏิบัติด้วยเหตุแห่งรสนิยมทางเพศ และอัตลักษณ์ทางเพศ (Sexual Orientation and Gender Identity)
- การจัดทำร่าง พ.ร.บ.คู่ชีวิต แทนที่จะไปปรับแก้ ป.พ.พ. เพื่อขยายสิทธิการสมรสให้เท่าเทียม ทำให้เกิดข้อสงสัยต่อศักดิ์ศรีของการก่อตั้งสถาบันครอบครัวของคู่ LGBTQ ว่าด้อยกว่าศักดิ์ศรีของคู่รักต่างเพศอย่างไร
- ร่าง พ.ร.บ.คู่ชีวิตที่ผ่านมามีความซับซ้อนในการบังคับใช้กฎหมาย เช่น การตรวจสอบว่าคู่ชีวิตหรือคู่สมรสเคยจดทะเบียนแบบใดมาก่อน เคยจดทะเบียนซ้อนหรือไม่ หรือสิทธิหน้าที่ใดตาม ป.พ.พ. จะสามารถนำมาอนุโลมบังคับใช้ให้กับคู่ชีวิตมากน้อยหรือไม่เพียงใด
- การเป็น ‘คู่สมรสที่ชอบด้วยกฎหมาย (Lawful Spouses)’ เป็นคำที่เป็นสากลและสามารถกล่าวอ้างได้ทั่วโลก ในขณะที่การเป็นคู่ชีวิตไม่ได้รับการยอมรับในต่างประเทศทุกประเทศ
- หากประเทศไทยมีกฎหมายสมรสเท่าเทียมในรูปแบบของ ป.พ.พ. คู่สมรส LGBTI ที่เป็นชาวต่างชาติที่เข้ามาทำงานในประเทศไทย หรือเข้ามามีถิ่นที่อยู่ในประเทศไทย เช่น นักการทูต เจ้าหน้าที่องค์กรระหว่างประเทศ ฯลฯ ก็จะได้รับการคุ้มครองและมีศักดิ์ศรีตามที่เคยได้รับในประเทศต้นทางที่มีกฎหมายให้ความเสมอภาคในการสมรสเช่นเดียวกัน
- การขยายการสมรสตาม ป.พ.พ. ไปยังคู่ LGBTQ ช่วยแก้ไขปัญหาการไม่ได้รับรองสิทธิการใช้ชีวิตคู่อย่างเบ็ดเสร็จ ทำให้คู่รัก LGBTQ ได้รับสิทธิหน้าที่ที่คู่สมรสชาย-หญิงทั่วไปได้รับ เช่น สิทธิในการปกครองบุตรบุญธรรมร่วมกัน สิทธิในการดำเนินการตั้งครรภ์แทนโดยอาศัยเทคโนโลยี สิทธิในสวัสดิการภาครัฐและเอกชน ในฐานะคู่สมรสที่ชอบด้วยกฎหมาย ฯลฯ นอกจากนั้นเด็กที่เลี้ยงดูโดยคู่ LGBTQ จะได้รับความคุ้มครองทางกฎหมายจากคู่ LGBTQ ทั้งสองในฐานะคู่สมรสที่ชอบด้วยกฎหมาย เฉกเช่นคู่รักชาย-หญิงทั่วไป ไม่เกิดความแตกต่างแปลกแยก
- ประเทศไทยให้คำปฏิญญาโดยสมัครใจกับกระบวนการทบทวนสถานการณ์สิทธิมนุษยชน (UPR) ในตั้งแต่ปี 2559 ว่าจะทบทวนเงื่อนไขการสมรสตาม ป.พ.พ. ที่จำกัดสิทธิการสมรสสำหรับบุคคลบางประเภท ซึ่งตาม ป.พ.พ. ปัจจุบัน LGBTQ ถูกจำกัดสิทธิการสมรส ดังนั้นหากสามารถแก้ไข ป.พ.พ. สำเร็จ ประเทศไทยย่อมจะได้รับการยอมรับโดยนานาอารยประเทศ และถือเป็นการปฏิบัติตามคำสัญญาและพันธกรณีระหว่างประเทศที่ประเทศไทยลงนามรับรองไว้ด้วย