×

เมื่อการปราบปราม แก๊งคอลเซ็นเตอร์ 2025 เป็นเพียงละครฉากหนึ่ง ที่ไม่ใช่ละครฉากจบ

โดย THE STANDARD TEAM
26.02.2025
  • LOADING...

เมื่อไทย จีน และเมียนมาจับมือกันเพื่อเอาจริงเอาจังกับการปราบปราม ‘แก๊งคอลเซ็นเตอร์’ ตลอดช่วงสามสัปดาห์ที่ผ่านมา (เริ่มตั้งแต่ทางการไทยตัดไฟให้เมียนมาวันที่ 5 กุมภาพันธ์ จนวันนี้ 26 กุมภาพันธ์ เป็นเวลา 21 วัน) เราได้เห็นเหยื่อจำนวนมากได้รับอิสรภาพ มิจฉาชีพชาวจีนบางส่วนถูกนำตัวกลับไปดำเนินคดี 

 

แต่ท่ามกลางแสงสว่างเหล่านี้ ในเงามืดเมืองสแกมเมอร์กลับยังคงเติบโตต่อเนื่อง ซึ่งนี่อาจเป็นสัญญาณว่า ‘โรงละครคอลเซ็นเตอร์’ แท้จริงแล้วยังไม่ได้เดินทางมาถึงฉากจบ แต่เป็นเพียงการแสดงฉากหนึ่ง

 

ตัดริบบิ้นยุติจ่าย ‘ไฟ-อินเทอร์เน็ต-สัญญาณโทรศัพท์’

 

วันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2568 จุดเปลี่ยนสำคัญในการปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ เมื่อ อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย คลิกเมาส์สั่งตัดไฟฟ้าบริเวณชายแดนไทย 5 จุด ตามคำสั่งของสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) เพื่อสกัดเครือข่ายอาชญากรรมข้ามชาติที่อาศัยพลังงานจากไทยในการดำเนินกิจกรรมผิดกฎหมาย

 

โดย 5 จุดยุทธศาสตร์ที่ถูกตัดไฟ ประกอบด้วย

 

  1. บ้านพระเจดีย์สามองค์–เมืองพญาตองซู (รัฐมอญ)
  2. บ้านเหมืองแดง–เมืองท่าขี้เหล็ก (รัฐฉาน)
  3. สะพานมิตรภาพไทย-พม่า–เมืองท่าขี้เหล็ก (รัฐฉาน)
  4. สะพานมิตรภาพไทย-พม่า แห่งที่ 2–อำเภอเมียวดี (รัฐกะเหรี่ยง)
  5. บ้านห้วยม่วง–อำเภอเมียวดี (รัฐกะเหรี่ยง)

 

แม้การตัดไฟครั้งนี้จะทำให้ไทยสูญเสียรายได้จากการขายไฟฟ้าประมาณ 600 ล้านบาทต่อปี (คิดเป็นไม่ถึง 1% ของรายได้รวมจากการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค) แต่รัฐบาลไทยเห็นว่าความมั่นคงของชาติและการลดอาชญากรรมเป็นเรื่องสำคัญกว่า

 

หลังไฟดับการปราบปรามยังไม่จบสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (สำนักงาน กสทช.) เดินหน้าจัดระเบียบเสาสัญญาณโทรศัพท์และอินเทอร์เน็ตตลอดแนวชายแดน พร้อมออกมาตรการใหม่ให้โอเปอเรเตอร์ (เอกชนเจ้าของค่าย) ปรับการติดตั้งเสาและการปล่อยสัญญาณให้สอดคล้องกับยุคที่แก๊งคอลเซ็นเตอร์ใช้เทคโนโลยีเหล่านี้เป็นอาวุธทำลายคนในชาติ

 

โดยมาตรการควบคุมเสาสัญญาณชายแดนไทย-เมียนมา มีดังนี้

 

  • ระยะไม่เกิน 50 เมตรจากชายแดน → ความสูงเสาสัญญาณไม่เกิน 10 เมตร หรือติดตั้ง Small Cell
  • ระยะไม่เกิน 1,000 เมตร → ความสูงไม่เกิน 15 เมตร และควบคุมให้สัญญาณไม่ล้นออกนอกประเทศ
  • ระยะไม่เกิน 3,500 เมตร → ความสูงไม่เกิน 30 เมตร และจำกัดสัญญาณให้อยู่ในเขตประเทศไทย

 

ซึ่งทางโอเปอเรเตอร์ต้องปรับปรุงเสาสัญญาณตามเงื่อนไขที่กำหนดภายใน 15 วัน หลัง กสทช. ประเมินและออกหนังสือแจ้งเตือน

 

ผลลัพธ์ทันตา คืนเหยื่อ-โจร ให้นานาประเทศจัดการกันต่อ

 

เพียงหนึ่งวันหลังจากรัฐบาลไทยหยุดจ่ายไฟฟ้าให้พื้นที่ชายแดนเมียนมา วันที่ 6 กุมภาพันธ์ กองกำลังพิทักษ์ชายแดนเมียนมา (BGF) ได้ส่งตัวชาวต่างชาติ 61 คน จาก 7 สัญชาติ ที่ทั้งตกเป็นเหยื่อและสมัครใจทำงานในแก๊งคอลเซ็นเตอร์และขบวนการค้ามนุษย์ในเมืองชเวโก๊กโก่ จังหวัดเมียวดี กลับประเทศไทย ผ่านสะพานมิตรภาพไทย-พม่า แห่งที่ 2 โดยมี ภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นผู้รับมอบ

 

ต่อมาวันที่ 12 กุมภาพันธ์ กองทัพกะเหรี่ยงพุทธประชาธิปไตย (DKBA) ส่งตัวชาวต่างชาติเพิ่มอีกกว่า 260 คน จาก 20 ประเทศ ผ่านทางด่านท่าข้าม 28 อำเภอพบพระ โดยส่วนใหญ่มาจากเอธิโอเปีย, เคนยา, ฟิลิปปินส์, มาเลเซีย, ปากีสถาน และจีน ให้ทางการไทยเป็นคนกลางรับไว้เพื่อส่งต่อแต่ละประเทศ

 

และตั้งแต่นั้นมากองกำลังทหารฝั่งเมียนมาเริ่มประกาศจำนวนผู้ที่ต้องการเดินทางกลับประเทศตัวเองเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ทำให้ทางการไทยที่รับหน้าที่เป็นคนกลางรับตัวต้องกลับมาทบทวนประสิทธิภาพการดูแลชาวต่างชาติที่ต้องมาอยู่ในประเทศไทยชั่วคราวว่า ‘พร้อม’ มากเท่าใด 

 

ซึ่งนำมาสู่ข้อสรุปว่าไทยจะไม่อนุญาตให้ตั้งค่ายลี้ภัย โดยแต่ละประเทศต้องมารับพลเมืองของตนกลับทันทีหลังจากข้ามมาจากฝั่งเมียนมา ไทยพร้อมอำนวยความสะดวกแต่ต้องครั้งละไม่เกิน 500 คน และทุกคนที่เข้าประเทศต้องผ่านการตรวจไบโอเมตริกซ์

 

โดยชาติที่น่าจับตาในการรับ-ส่งตัวมากที่สุดคือ ‘จีน’ เพราะตามบัญชีที่กองกำลังทหารฝั่งเมียนมารวบรวมมาได้จนถึงวันนี้ มากกว่า 70% ล้วนแล้วแต่เป็นคนจีนซึ่งมีทั้งผู้ที่เป็นเหยื่อและกลุ่มที่เป็นเบื้องหลังแก๊งคอลเซ็นเตอร์ 

 

อีกทั้งทางการจีนส่งรายชื่อชาวจีนกว่า 3,700 คนที่เข้าข่ายเป็นโจรไม่ใช่เหยื่อให้ไทยรับทราบหากรับตัว และภาพสำคัญที่กลายเป็นที่พูดถึงคือการลงมากำกับดูแลเองของ ‘หลิวจงอี้’ ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงความมั่นคงสาธารณะแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน มือปราบมือหนึ่งของทางการจีน

 

จากแอ็กชันต่างๆ ที่เกิดขึ้นทำให้จีนสามารถรับตัวประชากรชาติตัวเองกลับไปได้รวดเร็วที่สุด และจำนวนมากที่สุดตั้งแต่มีการรับ-ส่งตัวของชาวต่างชาติจากแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในประเทศเมียนมา 

 

และยังเป็นชาติแรกที่ทำให้ทั้งโลกเห็นว่าประเทศของเขาทำอย่างไรกับกลุ่มคนที่รับตัวกลับไป เพราะในท้ายสุดคนเหล่านั้นที่ผ่านการคัดกรองด้วยเจ้าหน้าที่จีนในแผ่นดินเมียนมาเกือบทั้งหมดต้องกลับไปรับโทษในแผ่นดินจีน

 

กองกำลังที่ดูเป็นตัวร้ายในสายตาโลก ประกาศสงครามกับอาชญากรรมข้ามชาติ

 

หลังถูกจับตาว่าเอื้อประโยชน์ให้กลุ่มทุนจีนมาอย่างยาวนาน กองกำลังพิทักษ์ชายแดนเมียนมา (BGF) และกองทัพกะเหรี่ยงพุทธประชาธิปไตย (DKBA) ถึงเวลาที่ต้องออกมาประกาศจุดยืนร่วมกันในการกวาดล้างอาชญากรรมข้ามชาติ ไม่ว่าจะเป็นแก๊งคอลเซ็นเตอร์หรือขบวนการค้ามนุษย์ที่แฝงตัวในพื้นที่ชายแดนเมียนมา

 

DKBA

 

พ.อ. ซาน เอ่า ผู้บัญชาการกองทัพกะเหรี่ยง DKBA ยืนยันว่า ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป(13 กุมภาพันธ์) กองกำลังของ DKBA จะดำเนินปฏิบัติการกวาดล้างทุกสถานประกอบการที่กระทำผิดกฎหมาย ภายในพื้นที่ควบคุมของตนในฝั่งเมียนมา หากพบว่าเป็นแหล่งอาชญากรรมจะขับออกจากพื้นที่โดยทันที พร้อมช่วยเหลือเหยื่อที่ถูกบังคับใช้แรงงาน

 

แต่ถึงอย่างไร DKBA จะยังคงอนุญาตให้ธุรกิจที่ถูกกฎหมาย เช่น บ่อนคาสิโน งานบริการในโรงแรม และงานทั่วไปดำเนินต่อไปได้ตราบใดที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการหลอกลวงหรืออาชญากรรมทางไซเบอร์เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนเมียนมาในพื้นที่

 

BGF 

 

หม่อง ชิต ตู่ เลขาธิการกองกำลังพิทักษ์ชายแดน BGF เรียกประชุมหารือและมีมติเอกฉันท์ที่จะปราบปรามขบวนการออนไลน์ผิดกฎหมาย โดยเฉพาะแก๊งคอลเซ็นเตอร์และกลุ่มทุนจีนสีเทาที่ดำเนินธุรกิจผิดกฎหมายในฝั่งเมียนมา (ชเวโก๊กโก่และเคเคพาร์ก)

 

โดย BGF กำหนดเริ่มปฏิบัติการกวาดล้างอย่างเป็นทางการตั้งแต่วันที่ 13 กุมภาพันธ์เป็นต้นไปกำหนดให้แล้วเสร็จในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ ซึ่งถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่อาจส่งผลต่อเครือข่ายแก๊งคอลเซ็นเตอร์ข้ามชาติที่ใช้พื้นที่ชายแดนเมียนมาเป็นฐานปฏิบัติการ

 

การประกาศสงครามกับอาชญากรรมข้ามชาติของทั้ง BGF และ DKBA นับเป็นก้าวสำคัญที่แสดงให้เห็นว่า กลุ่มกองกำลังติดอาวุธที่เคยถูกมองว่าเป็นพันธมิตรของทุนจีนกำลังเปลี่ยนทิศทางเพื่อขจัดเครือข่ายอาชญากรรมออกจากพื้นที่ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อเครือข่ายแก๊งคอลเซ็นเตอร์และขบวนการค้ามนุษย์ในระดับสากล

 

มีแสงย่อมมีเงา ภายใต้การปราบปรามการก่อสร้างกำลังเดินหน้า

 

ทีมข่าว THE STANDARD ลงพื้นที่อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก เพื่อเก็บข้อมูลการแก้ปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่ถูกประกาศเป็นวาระสำคัญระหว่าง 3 ชาติ ไทย เมียนมา และจีน ในช่วง 2 สัปดาห์ วันที่ 5-7 และ 15-20 กุมภาพันธ์

 

โดยทีมข่าวเลือกสำรวจจากพื้นที่ฝั่งไทยที่สามารถมองเห็น ‘อาณาจักรสแกมเมอร์’ ในฝั่งประเทศเมียนมาได้อย่างชัดเจน ประกอบด้วย

 

  • ชเวโก๊กโก่ เมืองเมียวดี 
  • เคเคพาร์ก เมืองเมียวดี 
  • หมู่บ้านผาลู เมืองเมียวดี

 

วันที่ 7 กุมภาพันธ์ เมื่อสังเกตจากบริเวณบ้านแม่กุใหม่ อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก จะสามารถมองเห็นสิ่งปลูกสร้างของเคเคพาร์ก ฐานที่ตั้งสำคัญของกระบวนการสแกมเมอร์ระดับชาติ ทั้งแก๊งคอลเซ็นเตอร์และแก๊งค้ามนุษย์

 

ทีมข่าวพบว่าเจ้าหน้าที่ Security Staff ยังคงประจำการลาดตระเวนรอบอาคารที่ถูกล้อมด้วยกำแพงปูนสูงและรั้วลวดหนาม นานๆ ครั้งจะมีคนในอาคารเคลื่อนไหวผ่านหน้าต่าง เมื่อฝั่งไทยมีความเคลื่อนไหวเจ้าหน้าที่ของฝั่งเมียนมาจะขยับมาสังเกตการณ์ฝั่งตรงข้ามทันที และบริเวณใกล้กันยังมีการก่อสร้างเดินหน้าต่อเนื่อง

 

Security Staff ฝั่งเมียนมา ประจำการบริเวณอาคารของเคเคพาร์ก

Security Staff ฝั่งเมียนมา ประจำการบริเวณอาคารของเคเคพาร์ก

 

Security Staff ฝั่งเมียนมา ประจำการหอสังเกตการณ์ของอาคารเคเคพาร์ก

Security Staff ฝั่งเมียนมา ประจำการหอสังเกตการณ์ของอาคารเคเคพาร์ก

 

การก่อสร้างบริเวณเคเคพาร์ก มีรถปูนวิ่งเข้า-ออก มีคนงานก่อสร้างและเครนขนาดใหญ่กำลังทำงาน

การก่อสร้างบริเวณเคเคพาร์ก มีรถปูนวิ่งเข้า-ออก มีคนงานก่อสร้างและเครนขนาดใหญ่กำลังทำงาน

 

วันที่ 15 กุมภาพันธ์ บริเวณริมแม่น้ำเมย แถบตำบลมหาวัน อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก หรือที่รู้จักในชื่อ ‘เมยโค้ง’ ฝั่งตรงข้ามบ้านผาลู อำเภอกอกะเร็ก รัฐกะเหรี่ยง ทีมข่าวพบอาคารที่มีความสูงประมาณ 5 ชั้น มีหน้าต่างที่ติดลูกกรงเหล็กทุกบานลักษณะตรงกันกับอาคารปฏิบัติการแก๊งคอลเซ็นเตอร์ 

 

ถัดจากอาคารแถวหน้าเมื่อมองในล็อกต่อไปจะเห็นโครงสร้างอาคารที่อยู่ในระหว่างการก่อสร้างเป็นจำนวนมาก แต่ละอาคารสูง 4-5 ชั้น มีติดลูกกรงที่หน้าต่างทุกบานเช่นเดิม มีรถปูนวิ่งเข้า-ออกถนนหลัก

 

อาคารสแกมเมอร์ริมเมยโค้ง อยู่ในระหว่างทาสีและต่อเติม

อาคารสแกมเมอร์ริมเมยโค้ง อยู่ในระหว่างทาสีและต่อเติม

 

ชาวบ้านในพื้นที่ให้ข้อมูลว่าช่วงเย็นจนถึงรุ่งเช้า อาคารหลังดังกล่าวที่ชั้นที่ 2 และ 3 จะเปิดไฟส่องสว่าง

ชาวบ้านในพื้นที่ให้ข้อมูลว่าช่วงเย็นจนถึงรุ่งเช้า อาคารหลังดังกล่าวที่ชั้นที่ 2 และ 3 จะเปิดไฟส่องสว่าง

 

อาคารหลังดังกล่าวที่เชื่อได้ว่าเป็นตึกสแกมเมอร์ มีคนเดินออกมาพักเป็นระยะ

อาคารหลังดังกล่าวที่เชื่อได้ว่าเป็นตึกสแกมเมอร์ มีคนเดินออกมาพักเป็นระยะ

 

วันที่ 18 กุมภาพันธ์ จากบริเวณตำบลแม่กาษา อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก ริมแม่น้ำเมยในจุดที่สามารถมองเห็นเมือง ‘ชเวโก๊กโก่’ เมืองในจังหวัดเมียวดี ประเทศเมียนมา ได้อย่างชัดเจน

 

ช่วงเวลา 19.00 น. ที่ทีมข่าวลงพื้นที่พบว่าภายในเมืองชเวโก๊กโก่ยังคงมีการก่อสร้างตามอาคารปกติ มีการเปิดไฟตามที่พักหรือแม้แต่อาคารสำนักงานที่คล้ายกับแหล่งปฏิบัติการของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ อีกทั้งตลอดริมแม่น้ำเมยยังมีการใช้เครื่องปั่นไฟเสียงดัง

 

การก่อสร้างในเมืองชเวโก๊กโก่ยังคงเป็นไปอย่างต่อเนื่อง แม้เป็นช่วงเวลากลางคืน

การก่อสร้างในเมืองชเวโก๊กโก่ยังคงเป็นไปอย่างต่อเนื่อง แม้เป็นช่วงเวลากลางคืน

 

การก่อสร้างในเมืองชเวโก๊กโก่ยังคงเป็นไปอย่างต่อเนื่อง แม้เป็นช่วงเวลากลางคืน

 

อาคารที่พักแห่งนี้ในช่วงเช้าของวันเดียวกัน กองกำลังทหารBGF ได้เข้ามากวาดล้างช่วยเหลือเหยื่อชาวต่างชาติจากแก๊งคอลเซ็นเตอร์

อาคารที่พักแห่งนี้ในช่วงเช้าของวันเดียวกัน กองกำลังทหารBGF ได้เข้ามากวาดล้างช่วยเหลือเหยื่อชาวต่างชาติจากแก๊งคอลเซ็นเตอร์

 

ในช่วงเวลาของการ ‘ตัดไฟ จับโจร ปล่อยเหยื่อ’ ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า ‘การเติบโต’ ของอาณาจักรสแกมเมอร์ก็ยังคงเป็นไปอย่างต่อเนื่อง จากนี้เราเองจึงต้องติดตามกันต่อไปว่าเรื่องราวของโลกคอลเซ็นเตอร์ที่ถูกโหมไฟมาอย่างรุนแรงจะสามารถลุกลามกำจัดได้จนหมดจด หรือ มอดดับลงไปในท้ายสุด

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising