วันนี้ (16 มีนาคม) ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ หรือยุ้ย หัวหน้าทีมนโยบายเศรษฐกิจเพื่อนชัชชาติ เสนอรัฐบาลลดค่าใช้จ่ายจำเป็นของกลุ่มผู้มีรายได้น้อย หลังประสบปัญหาของแพงจากสถานการณ์ค่าเงินเฟ้อสูงสุดในรอบ 11 ปี ชี้นโยบายอุดหนุนราคาน้ำมันดีเซล 2.5 แสนล้านบาทต่อปี สวนทางกลไกตลาด หวั่นกระทบประชาชนและภาคธุรกิจในระยะยาว
ดร.เกษรากล่าวว่า ประเทศไทยกำลังเผชิญปัญหาค่าเงินเฟ้อสูงสุดในรอบ 11 ปีที่ 5.3% ส่งผลให้ความสามารถในการจับจ่ายของประชาชนลดลง 9.4% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน พร้อมยกตัวอย่างคนทำงานในกรุงเทพฯ รายได้ 20,000 บาทต่อเดือน ปีนี้จะมีความสามารถในการจับจ่ายเพียง 18,120 บาท
ทั้งนี้ ปัญหาเงินเฟ้อของไทย ดร.เกษราอธิบายว่ามีสาเหตุทั้งจากปัจจัยภายในและภายนอก เช่น ราคาสินค้าอุปโภคบริโภคและสินค้านำเข้าปรับตัวสูงขึ้น เช่น น้ำมันเชื้อเพลิง ถ่านหิน ก๊าซธรรมชาติ ข้าวสาลี ขณะเดียวกันสถานการณ์สงครามรัสเซีย-ยูเครนก็เป็นปัจจัยกระตุ้นราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่สำคัญ
ดร.เกษราสะท้อนว่า การอุดหนุนราคาน้ำมันดีเซลด้วยงบประมาณ 2.5 แสนล้านบาท เป็นการแก้ปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนและภาคธุรกิจที่จะสร้างผลกระทบในระยะยาว หากในอนาคตรัฐบาลตัดสินใจลอยตัวราคาน้ำมันตามกลไกตลาด รัฐบาลต้องลอยตัวค่าน้ำมันแบบมีการจัดการและช่วยเหลือคนมีรายได้น้อยแบบเฉพาะเจาะจงด้วยการลดราคาสินค้าอุปโภคบริโภคจำเป็น เช่น ค่าอาหาร ค่าขนส่ง ค่าน้ำ ค่าไฟ
ดร.เกษรายังย้ำด้วยว่า ปัญหาเงินเฟ้อกระทบคนทุกกลุ่ม โดยเฉพาะผู้มีรายได้น้อย จากการสำรวจการใช้จ่ายของครัวเรือนไทยพบว่า คนมีรายได้น้อยใช้น้ำมันเบนซินมากกว่าน้ำมันดีเซล คนที่มีรายได้น้อยที่สุด 20% ใช้น้ำมันเบนซิน 72% ดีเซล 28% ดังนั้นรัฐบาลจำเป็นต้องมีมาตรการบรรเทาปัญหาค่าครองชีพของประชาชนเป็นวาระเร่งด่วน
ดร.เกษรายังได้เสนอนโยบาย ‘เศรษฐกิจดี’ ของทีมเพื่อนชัชชาติ มีเป้าหมายเพื่อลดต้นทุนคนกรุงเทพฯ เช่น ลดค่าเช่าตลาดที่ กทม. เป็นเจ้าของพื้นที่ ควบคู่กับการสร้างครัวกลางแจกจ่ายอาหาร-น้ำดื่มให้ประชาชน พัฒนาห้องเช่าราคาถูกรองรับความจำเป็นคนรายได้น้อย พร้อมลดค่าเดินทางพื้นฐาน ทำรถเมล์ให้มีคุณภาพ ราคาประหยัด เพื่อทำให้คนกรุงเทพฯ เสียค่าโดยสารถูกลง และอยู่ได้อย่างมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น