×

‘กสิกรไทย’ แนะ 10 กลยุทธ์การลงทุนปี 65 ชี้หุ้นยังน่าสนใจ ขณะที่พันธบัตรรัฐบาล-ทองคำเสี่ยงเป็นขาลง ตั้งเป้าดัน AUM แตะ 1 ล้านล้านบาทในปี 66

15.12.2021
  • LOADING...
จิรวัฒน์ สุภรณ์ไพบูลย์

จิรวัฒน์ สุภรณ์ไพบูลย์ Private Banking Group Head ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า ตลาดการลงทุนตลอดปี 2564 ไม่สดใสเท่าที่ควร หลังตลาดหุ้นโลกรีบาวด์แรงไปแล้วในช่วงไตรมาส 2-4 ปี 2563 ซึ่งตลอดปีนี้ ตลาดลงทุนอ่อนไหวต่อข่าวสารและสถานการณ์ความไม่แน่นอนมากขึ้น จากแนวโน้มที่ตลาดปรับตัวแบบ Bumpy Bend หรือมีการปรับขึ้นลงในกรอบแคบๆ และมีความผันผวนสูง ตามที่ธนาคารเคยคาดการณ์

 

สำหรับตลาดหุ้นโลกโดยรวมก็ยังปรับตัวขึ้นได้จากแรงหนุนของกำไรสุทธิของบริษัทจดทะเบียนที่เติบโตดี ล่าสุดตลาดก็กลับมาตื่นตระหนกอีกครั้ง จากการแพร่ระบาดของโควิดสายพันธุ์โอไมครอน ส่งผลให้ราคาหุ้นทั่วโลกปรับลดลง อย่างไรก็ดี ตลาดฝั่งประเทศพัฒนาแล้วอย่างยุโรปและสหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้น จากสาเหตุหลักที่ว่า แม้ว่าโอไมครอนจะแพร่ระบาดได้ง่ายแต่อาการไม่รุนแรง

 

ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ธนาคารในฐานะที่ปรึกษาด้านการลงทุนได้ติดตามสถานการณ์ตลาดการลงทุนอย่างต่อเนื่อง และเพื่อกระจายความเสี่ยงและเพื่อสร้างผลตอบแทนที่น่าพึงพอใจให้กับพอร์ตการลงทุนของลูกค้า นอกเหนือจากคำแนะนำให้ลงทุนในหุ้นและตราสารหนี้แล้ว ธนาคารได้แนะนำให้กระจายการลงทุนไปในสินทรัพย์ทางเลือกอื่นๆ เช่น กองทุนหุ้นนอกตลาด (Private Equity) ซึ่งให้ผลตอบแทนเฉลี่ยถึง +17.5% ต่อปี ตั้งแต่จัดตั้งกองทุนในช่วงกลางปี 2563 รวมถึงแนะนำให้ลงทุนในตราสารหนี้ควบอนุพันธ์ (KIKO) ที่อ้างอิงกับตะกร้าหุ้นไทยและหุ้นต่างประเทศ ซึ่งให้ผลตอบแทนสูงถึง 12-23% ต่อปี ในกรณีที่หุ้นไทยเคลื่อนไหวในกรอบแคบๆ

 

สำหรับในปี 2565 ธนาคารแนะนำ 10 กลยุทธ์การลงทุน ได้แก่

  1. เพิ่มเงินสดในพอร์ตเพื่อรับมือกับความผันผวนของตลาดที่สูงขึ้นจากความไม่แน่นอน โดยเฉพาะทิศทางการดำเนินนโยบายของ Fed ท่ามกลางราคาของหลายๆ สินทรัพย์ที่เริ่มตึงตัว หากตลาดมีการปรับฐานก็สามารถใช้โอกาสการเข้าซื้อในราคาที่ต่ำลง
  2. ลดสัดส่วนการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลและหุ้นกู้ที่มีอันดับความน่าเชื่อถือสูง เนื่องจากให้ผลตอบแทนในรูปของดอกเบี้ยค่อนข้างต่ำ ไม่สามารถชดเชยราคาที่จะถูกกดดันจากบอนด์ยีลด์ขาขึ้นได้
  3. ตลาดหุ้นยังน่าสนใจลงทุน หนุนโดยกำไรสุทธิที่ยังเติบโตอย่างแข็งแกร่ง
  4. แนะนำลงทุนในหุ้นที่มีราคาถูกกว่าปัจจัยพื้นฐาน หรือหุ้น Value หรือหุ้นที่เคลื่อนไหวตามวัฏจักร หรือหุ้น Cyclical เช่น กลุ่มการเงิน ที่ราคาพื้นฐานยังคงน่าสนใจ
  5. ลงทุนในหุ้นกู้ตลาดเกิดใหม่สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ โดยเฉพาะในเอเชีย ที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่าตราสารหนี้ในประเทศพัฒนาแล้ว
  6. ประเมินค่าเงินดอลลาร์สหรัฐจะแข็งค่าขึ้น สวนทางกับค่าเงินยูโร
  7. ลดสัดส่วนการลงทุนในทองคำ เพราะอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงที่สูงขึ้นจะกดดันราคาทองคำ
  8. เน้นกลยุทธ์การลงทุนแบบเชิงรุก (Active) มากกว่าลงทุนตามดัชนี (Passive) โดยปรับกลยุทธ์การลงทุนอย่างสม่ำเสมอตามสภาวะตลาด
  9. ความผันผวนถือเป็นโอกาสในการลงทุน
  10. การลงทุนแบบยั่งยืน (Sustainability) เป็นกุญแจสร้างผลตอบแทนที่โดดเด่นให้กับพอร์ตการลงทุน

 

โดยธนาคารยังคงเชื่อมั่นว่าการลงทุนระยะยาว ผ่านการกระจายการลงทุนในหลายสินทรัพย์จะช่วยลดความผันผวนของพอร์ตการลงทุนในระยะสั้น อีกทั้งธนาคารจะยังคงปรับกลยุทธ์และคำแนะนำการลงทุนอย่างต่อเนื่อง เพื่อรักษาผลตอบแทนของพอร์ตการลงทุนให้ยั่งยืน

 

จิรวัฒน์กล่าวว่า การดำเนินธุรกิจ KBank Private Banking ในปี 2564 ยังเติบโต โดยมีจำนวนลูกค้าประมาณ 13,000 ราย สินทรัพย์ภายใต้การจัดการ (AUM) ทั้งหมดประมาณ 9 แสนล้านบาท ซึ่งขยายตัวจากปี 2563 ที่ 3% และ 6% ตามลำดับ และภายในสิ้นปี 2564 คาดว่าจะมีสินทรัพย์ลงทุนรวมประมาณ 5 แสนล้านบาท หรือประมาณ 68% โดยเป็นสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูงและ/หรือมีความซับซ้อน (Sophisticated Asset) ถึง 1.5 แสนล้านบาท เติบโตจากปี 2563 ถึง 16% และคาดว่ารายได้ในส่วนของค่าธรรมเนียมการลงทุนจะเติบโตถึง 27%

 

สำหรับปี 2565 ธนาคารคาดว่าสินทรัพย์ภายใต้การจัดการจะขยายตัวเพิ่มเป็น 9.5 แสนล้านบาท และมีโอกาสที่ AUM จะเติบโตแตะ 1 ล้านล้านบาท ภายในปี 2566 พร้อมมองว่าการลงทุนในหุ้นและตราสารหนี้จะยังให้ผลตอบแทนเฉลี่ยได้ที่ 5-6% ต่อปี ขณะที่การลงทุนในสินทรัพย์ทางเลือกอื่นๆ เช่น หุ้นกู้ควบอนุพันธ์อาจให้ผลตอบแทนเฉลี่ยได้เพิ่มขึ้นเป็น 8-12%

 

จิรวัฒน์ยังกล่าวถึงการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลว่า ขณะนี้ KBank Private Banking มีมุมมองเชิงบวกเกี่ยวกับสินทรัพย์ดิจิทัลที่มีสินทรัพย์หนุนหลัง เช่น การทำ Tokenization ขององค์กรต่างๆ

 

อย่างไรก็ดี ปัจจุบันสินทรัพย์ประเภทนี้ยังมีภาระภาษีค่อนข้างมาก ทำให้ผลตอบแทนถูกลดทอนลงไป ขณะที่การลงทุนในคริปโตเคอร์เรนซีปัจจุบันธนาคารยังเตือนให้ลูกค้าระมัดระวังและหลีกเลี่ยงการลงทุน เนื่องจากเป็นสินทรัพย์ที่เข้าข่ายเป็น Speculative Asset หรือเป็นการเก็งกำไรมากกว่าลงทุน และยังไม่มีทฤษฎีในการวิเคราะห์แนวโน้มผลตอบแทนได้

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising