เกิดเหตุระเบิดครั้งรุนแรงที่คร่าชีวิตผู้คนหลังจากพิธีกรรมทางศาสนาในวันศุกร์ที่ผ่านมา (29 เมษายน) ที่มัสยิดของชาวสุหนี่ในกรุงคาบูลของอัฟกานิสถาน ซึ่งถือเป็นการโจมตีเป้าหมายพลเรือนในอัฟกานิสถานครั้งล่าสุดในช่วงเดือนรอมฎอนอันศักดิ์สิทธิ์ของชาวมุสลิม
โดย เบสมุลเลาะห์ ฮาบิบ รองโฆษกกระทรวงมหาดไทยของอัฟกานิสถาน ระบุว่า มีเหตุระเบิดที่มัสยิดคาลิฟา ซาฮิบ ทางตะวันตกของกรุงคาบูล และยอดผู้เสียชีวิตที่ยืนยันอย่างเป็นทางการอยู่ที่ 10 ราย ซายิด ฟาซิล อักฮา หัวหน้าของมัสยิดที่เกิดเหตุ กล่าวว่ามีบางคนที่พวกเขาเชื่อว่าเป็นผู้ก่อเหตุระเบิดฆ่าตัวตายมาร่วมพิธีกรรมทางศาสนาและจุดชนวนระเบิด ทำให้มีควันดำลอยขึ้นและกระจายไปทั่ว ตลอดจนมีร่างของผู้เสียชีวิตอยู่ทั่วไปเช่นกัน
อีกด้านหนึ่งแหล่งข่าวด้านสาธารณสุขรายหนึ่งระบุกับ Reuters ว่า โรงพยาบาลได้รับศพผู้เสียชีวิตแล้ว 66 ราย และมีผู้ได้รับบาดเจ็บ 78 ราย ขณะที่โรงพยาบาลต่างๆ ก็รายงานทั้งยอดผู้เสียชีวิตและผู้บาดเจ็บในการดูแลของตน เช่น โรงพยาบาลฉุกเฉินแห่งหนึ่งระบุว่ากำลังรักษาผู้บาดเจ็บ 21 คน และมีผู้เสียชีวิตแล้วขณะมาถึงโรงพยาบาล 2 คน เป็นต้น
สหรัฐอเมริกาและคณะทำงานของสหประชาชาติในอัฟกานิสถานประณามการโจมตีดังกล่าว โดยฝั่งคณะทำงานของสหประชาชาติระบุว่า นี่เป็นส่วนหนึ่งของความรุนแรงที่เพิ่มขึ้นในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่พุ่งเป้าไปที่ชนกลุ่มน้อย และระบุด้วยว่า เจ้าหน้าที่ของสหประชาชาติอย่างน้อย 2 คน และครอบครัวของพวกเขาอยู่ในมัสยิดในขณะที่มีการโจมตี ขณะที่โฆษกของกลุ่มตาลีบันที่ปกครองอัฟกานิสถานออกแถลงการณ์ประณามเหตุระเบิดดังกล่าว และบอกว่าผู้กระทำความผิดจะถูกค้นพบและลงโทษ
ขณะนี้ยังไม่ชัดเจนว่าผู้ใดเป็นผู้รับผิดชอบกับการก่อเหตุดังกล่าว อย่างไรก็ตาม พลเรือนชาวอัฟกันจำนวนมากถูกสังหารในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมาจากเหตุระเบิด ซึ่งบางส่วนถูกอ้างความรับผิดชอบโดยกลุ่มรัฐอิสลาม ขณะที่โรงพยาบาลฉุกเฉินเผยว่า ในเดือนเมษายนเพียงเดือนเดียว ทางโรงพยาบาลได้รักษาผู้ป่วยมากกว่า 100 คนที่ได้รับบาดเจ็บจากการโจมตีในกรุงคาบูล ทั้งนี้การโจมตีครั้งล่าสุดเกิดขึ้นในวันศุกร์สุดท้ายของเดือนรอมฎอน ที่ชาวมุสลิมส่วนใหญ่ถือศีลอด และก่อนวันอีฎิ้ลฟิตริ ซึ่งเป็นวันทางศาสนาในสัปดาห์หน้า
กลุ่มตาลีบันกล่าวว่า พวกเขาได้ปกป้องประเทศตั้งแต่เข้ายึดอำนาจในเดือนสิงหาคม และกำจัดสาขาท้องถิ่นของกลุ่มไอเอสจำนวนมาก แต่เจ้าหน้าที่ระหว่างประเทศและนักวิเคราะห์กล่าวว่า ความเสี่ยงของการฟื้นคืนของการใช้กำลังยังคงมีอยู่
Reuters ระบุว่า การโจมตีหลายครั้งมุ่งเป้าไปที่ชนกลุ่มน้อยชีอะห์ อย่างไรก็ตาม มัสยิดสุหนี่ก็ถูกโจมตีเช่นกัน
ภาพ: Haroon Sabawoon/Anadolu Agency via Getty Images
อ้างอิง: