×

เมื่อ K-Pop เติบโต และกำลังเปลี่ยนเกมอุตสาหกรรมดนตรีระดับโลก

20.12.2018
  • LOADING...

HIGHLIGHTS

  • ปี 2018 วงการเพลงเกาหลีส่งออกสู่ตลาดสากลอย่างต่อเนื่อง และได้รับความสนใจมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะวง BTS กับสถิติและการสร้างประวัติศาสตร์ในสหรัฐอเมริกานับครั้งไม่ถ้วน
  • อัลบั้ม Love Yourself: Tear ขึ้นอันดับ 1 ในชาร์ต U.S. Billboard Top 200 ซึ่งถือเป็นศิลปินเกาหลีกลุ่มแรกที่ทำได้, อัลบั้ม Love Yourself: Answer ที่รีแพ็กเกจอัลบั้มขึ้นอันดับ 1 ชาร์ต U.S. Billboard Top 200, เป็นศิลปินเคป๊อปกลุ่มแรกที่ได้ขึ้นแสดงบนเวที Billboard Music Awards ประจำปี 2018, ได้รับเชิญไปออกรายการทอล์กโชว์ชื่อดังมากมาย
  • BLACKPINK คัมแบ็กกับมินิอัลบั้ม SQUARE UP ที่มีเพลง DDU-DU DDU-DU เป็นเพลงไตเติล ซึ่งได้รับเสียงตอบรับจากแฟนๆ อย่างท่วมท้น ทั้งการขึ้นอันดับ 1 บนชาร์ต iTunes 49 ประเทศ, สามารถทำยอดขายอัลบั้มได้ 102,001 อัลบั้มภายในสัปดาห์แรก, มียอดวิวบนยูทูบกว่า 36.2 ล้านวิวภายใน 24 ชั่วโมงแรก และทำยอดวิวครบ 100 ล้านวิวภายใน 10 วัน

“ผมขอขอบคุณสำหรับรางวัลนี้ พวกเราได้เดินทางไปต่างประเทศเยอะมาก และมีคนมากมายร้องเพลงพวกเราในภาษาเกาหลี ทั้งยังเล่าให้ฟังด้วยว่ากำลังเรียนภาษาเกาหลี ผมภูมิใจมาก และพวกเราจะทำให้ดีที่สุดเพื่อเผยแพร่วัฒนธรรมของเรา”

 

จิน สมาชิกวง BTS ขึ้นกล่าวในงานรับรางวัลเกียรติยศจากรัฐบาลเกาหลี Order of Cultural Merit เมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา จากคำกล่าวนี้เราเห็นว่า ในฐานะศิลปิน นอกจากการทำตามความฝันที่จะมีเพลงที่ผู้คนทุกชาติทุกภาษาร้องตามได้ การเผยแพร่วัฒนธรรมของประเทศเป็นอีกหนึ่งภารกิจที่ศิลปินทำด้วยความตั้งใจ

 

Photo: metro.co.uk

 

ปี 2018 วงการเพลงเกาหลีส่งออกสู่ตลาดสากลอย่างต่อเนื่อง และได้รับความสนใจมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะวง BTS กับสถิติและการสร้างประวัติศาสตร์ในสหรัฐอเมริกานับครั้งไม่ถ้วน, ปรากฏการณ์ที่วง BLACKPINK ได้ร่วมงานกับศิลปินแถวหน้า และได้เซ็นสัญญากับ Interscope Records และ UMG (Universal Music Group) เพื่อให้ผลงานแพร่หลายไปสู่ตลาดโลก, โปรเจกต์ NCT ที่สร้างขึ้นมาเพื่อตลาดเพลงสากลโดยเฉพาะ กับการเปิดตัวยูนิตใหม่และก้าวสำคัญบนพรมแดงในงาน American Music Awards 2018, เจย์ ปาร์ค ผู้ก่อตั้งค่ายฮิปฮอป AOMG ปล่อยอัลบั้ม Ask Bout Me กับค่าย Roc Nation ของแรปเปอร์ชื่อดัง เจย์ ซี เป็นต้น

 

หลากหลายผลงานในระดับโลกตลอดปี 2018 เป็นคำตอบได้ว่า ดนตรีเกาหลีได้ก้าวขึ้นมามีบทบาทในอุตสาหกรรมดนตรีโลกไปแล้วอย่างมีนัยสำคัญ

 

Photo: Billboard Music Awards

 

The BTS Phenomenon

ในปี 2018 BTS คือวงเคป๊อปที่ไปไกลระดับโลก และสร้างสถิติมากมาย จนกลายเป็นวงต้นแบบศิลปินเกาหลีที่สร้างชื่อในระดับสากล

 

ประวัติศาสตร์ส่วนหนึ่งที่พวกเขาสร้างไว้ในปีนี้ไล่ตั้งแต่อัลบั้ม Love Yourself: Tear ขึ้นอันดับ 1 ในชาร์ต U.S. Billboard Top 200 ซึ่งถือเป็นศิลปินเกาหลีกลุ่มแรกที่ทำได้, อัลบั้ม Love Yourself: Answer ที่รีแพ็กเกจอัลบั้มขึ้นอันดับ 1 ชาร์ต U.S. Billboard Top 200, เป็นศิลปินเคป๊อปกลุ่มแรกที่ได้ขึ้นแสดงบนเวที Billboard Music Awards ประจำปี 2018, ได้รับเชิญไปออกรายการทอล์กโชว์ชื่อดังอย่าง The Ellen DeGeneres Show ของเอลเลน ดีเจเนอเรส, Jimmy Kimmel Live! ของจิมมี คิมเมล หรือ The Late Late Show ของเจมส์ กอร์ดอน, ได้รับเลือกจาก Forbes ติดอันดับใน Korea Power Celebrity, และยังเป็นศิลปินอายุน้อยที่สุดที่ได้รับเหรียญรางวัล The Order of Cultural Merit จากรัฐบาลเกาหลีใต้

 

 

เดือนกันยายน 2018 วง BTS ได้ขึ้นกล่าวสุนทรพจน์บนเวทีสหประชาชาติ UN ณ สำนักงานใหญ่เมืองนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา, ขึ้นปกนิตยสาร Time พร้อมคำโปรยที่ว่า Next Generation Leaders, คอนเสิร์ตเวิลด์ทัวร์ Love Yourself ของวงเปิดทัวร์ทั่วทวีปอเมริกาเหนือ โดยมีคอนเสิร์ตทั้งที่นิวเจอร์ซีย์, ชิคาโก, อิลลินอยส์ และซิตี้ฟีลด์สเดียม นิวยอร์ก ซึ่งพวกเขาเป็นศิลปินเกาหลีวงแรกที่ได้จัดคอนเสิร์ตในสเตเดียมของสหรัฐอเมริกา, ประกาศทัวร์คอนเสิร์ต Love Yourself ในประเทศไทยในเดือนเมษายน 2019 เป็นวงจากเกาหลีวงแรกที่จัดคอนเสิร์ตเดี่ยวที่สนามราชมังคลากีฬาสถาน สองรอบการแสดง!

 

 

ต้นเดือนธันวาคม Gaon Chart ได้เปิดเผยข้อมูลว่า วง BTS ทำยอดขายอัลบั้มแตะหลัก 10 ล้านก๊อบปี้นับตั้งแต่เดบิวต์ในเดือนมิถุนายน ปี 2013 โดยเฉพาะในปี 2018 เพียงปีเดียว วง BTS ทำยอดขายได้มากกว่า 5 ล้านอัลบั้ม นับเป็นศิลปินเกาหลีที่ทำยอดขายสูงสุดของปีนี้, ภาพยนตร์สารคดี Burn The Stage: The Movie สร้างสถิติใน Box Office ของสหรัฐอเมริกา กับรายได้เปิดตัววันแรก 1.2 ล้านเหรียญสหรัฐ ทั้งยังกวาดรายได้ช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ 3 วันแรกไปกว่า 2.3 ล้านเหรียญสหรัฐ, อัลบั้ม Love Yourself: Tear ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิง Grammy Awards ในสาขา Best Recording Package โดยผู้ออกแบบคือ HuskyFox, และเป็นอีกหนึ่งปีที่ BTS รั้งอันดับ 1 ในการถูกทวีตผ่านทวิตเตอร์สูงสุดทั่วโลก

 

รวมถึงโอกาสร่วมงานกับศิลปินตะวันตกอย่าง นิกกี้ มินาจ ที่มาร่วมแจมในเพลง IDOL, การได้ไปฟีเจอริงในเพลง Waste It On Me ซึ่งรวมอยู่ใน Neon Future III อัลบั้มใหม่ของ สตีฟ อาโอกิ, จองกุก หนึ่งในสมาชิกวง BTS ไปร่วมโชว์คอนเสิร์ตของ ชาร์ลี พุท และร่วมร้องเพลง We Don’t Talk Anymore ในงาน 2018 MBC Plus X Genie Music Awards (MGAs), นอกจากนี้ยังมีศิลปินอีกหลายคนที่ออกมาแสดงความต้องการร่วมงานกับ BTS ทั้งเอ็ด ชีแรน และ ทรอย ซีวาน เป็นต้น

 

 

ความสำเร็จทั้งหมดที่กล่าวมา เกิดขึ้นจากความคิดเบื้องหลังที่แตกต่างไปจากศิลปินเคป๊อปอื่นๆ ในด้านภาพลักษณ์ พวกเขาดูแลจัดการโซเชียลมีเดียของตัวเอง ไม่มีค่ายหรือต้นสังกัดมาคอยควบคุม เช่นเดียวกับสัญญาที่มีกับ Big Hit Entertainment ที่ไม่ได้จำกัดให้พวกเขาต้องอยู่ในกฎระเบียบอย่างเข้มงวด ซึ่งทำให้วง BTS เปิดเผยความรู้สึก สื่อสารกับแฟนเพลงได้อย่างอิสระ ไม่จำเป็นต้องคีปลุคให้จับต้องไม่ได้ตลอดเวลา

 

ส่วนงานเพลง พวกเขามักจะแต่งเพลงและทำนองเอง โดยเนื้อเพลงส่วนใหญ่จะถ่ายทอดความรู้สึก รวมถึงแรงกดดันที่วัยรุ่นทั้งในเกาหลีและทั่วโลกต้องเผชิญ รวมถึงประเด็นทางสังคมและการเมืองที่ช่วยสะท้อนสังคมได้อีกด้วย อีกทั้งวง BTS ไม่ได้พยายามประดิดประดอยแนวดนตรีให้แปลกพิสดาร แต่กลับโฟกัสไปที่สไตล์เพลงทั้งเคป๊อปและฮิปฮอป อย่างในปี 2014 ที่ BTS ใช้เวลาเก็บเกี่ยวประสบการณ์ในลอสแอนเจลิสเพื่อศึกษาและฝึกฝนแนวเพลงฮิปฮอป ด้วยความช่วยเหลือจากแรปเปอร์ชื่อดังอย่าง คูลิโอ และ วาร์เรน จี

 

การเดินทางเพื่อความสำเร็จในระดับโลกไม่ใช่เรื่องง่าย เมื่อต้นทางมาจากเพียงค่ายเพลงขนาดเล็กของเกาหลี ทั้งยังไม่ได้อยู่ในกลุ่มดนตรีตะวันตกอยู่ก่อน แต่ทั้งหมดที่ BTS สะสมและคิดวางแผนอย่างหนัก คือการสร้างฐานที่มั่นคงและตัวตนที่แท้จริง สิ่งต่างๆ เหล่านี้พาพวกเขาเดินทางไปยืนอยู่เคียงข้างศิลปินระดับโลกที่มาจากสตูดิโอชื่อดัง ทั้งยังมีเงินลงทุนมหาศาลได้อย่างเต็มภาคภูมิ

 

 

อีกหนึ่งชิ้นส่วนความสำเร็จที่สำคัญคือ เหล่าแฟนๆ ของวง หรือ ARMY ที่มีส่วนช่วยผลักดันและอยู่เคียงข้างวง BTS ซึ่งสมาชิกทุกคนต่างไม่เคยลืมที่จะกล่าวขอบคุณ ดังจะเห็นได้จากงานประกาศรางวัล 2018 Mnet Asian Music Awards เมื่อวันที่ 14 ธันวาคมที่ผ่านมา วง BTS กวาดไปหลายรางวัล รวมถึงรางวัลใหญ่ Artist of the Year ที่สมาชิกทุกคนต่างกล่าวขอบคุณ ARMY

 

โดยเฉพาะ เจโฮป ที่ถึงกับเสียน้ำตาก่อนจะเล่าถึงแรงกดดันที่พวกเขาได้รับ และความรักที่เขามีให้กับแฟนๆ รวมถึงสมาชิกในวงตลอดปีที่ผ่านมา ส่วนจินก็ได้เปิดเผยความรู้สึกส่วนตัวของเขาและสมาชิกในวง ที่ต้องเผชิญกับความกดดันจากหลายทิศทาง สภาพจิตใจที่ย่ำแย่เมื่อต้นปี 2018 จนเขาเองเคยคิดที่จะเลิกวง แต่โชคดีที่พวกเขายังคงช่วยเหลือกันและกัน เพื่อสร้างผลงานที่ดีออกมาตลอดปีนี้ จินยังได้กล่าวขอบคุณความรักจากสมาชิกในวง และ ARMY ที่รักพวกเขาจากหัวใจ

 

นี่อาจเป็นคำตอบสุดท้ายว่า ทั้งหมดที่กล่าวมา ‘ความสำเร็จ’ ยังต้องรวมถึงหัวจิตหัวใจของศิลปินด้วยเช่นกันที่จะไม่ยอมแพ้และมุ่งมั่นในการทำตามความฝัน แม้ว่าหนทางจะยากเย็นเพียงไหนก็ตาม

 

Photo: NCT /Twitter

 

SM Entertainment

ขณะที่ SM Entertainment ในปีนี้ดูจะมีความเคลื่อนไหวใหม่ๆ ให้แฟนๆ ได้ติดตามกันตลอดทั้งปี ทั้งผลงานเพลงและทัวร์คอนเสิร์ตจากหลากหลายศิลปิน อาทิ BoA, TVXQ!, Super Junior, Taeyeon, Yuri, SHINee, EXO, Red Velvet ไปจนถึงศิลปินเลือดใหม่มาแรงอย่าง NCT

 

แต่ที่น่าจับตามองมากที่สุดคงหนีไม่พ้นโปรเจกต์ NCT (Neo Culture Technology) ที่เดินหน้าเผยแพร่วัฒนธรรมเคป๊อปหลังจากเดบิวต์มาได้ 2 ปีกับ 3 ยูนิตย่อย NCT U, NCT 127 และ NCT DREAM โดยปีนี้ SM Entertainment เปิดตัว NCT 2018 ที่มีสมาชิก 18 คน อย่าง แทยง, แจฮยอน, จีซอง, เตนล์, เหรินจวิน, ยูตะ, เฉินเล่อ, โดยอง, วินวิน, แทอิล, เจโน่, แจมิน, จอห์นนี, แฮชาน, มาร์ค และ 3 สมาชิกใหม่ จองอู, คุน และ ลูคัส ก่อนปล่อยสตูดิโออัลบั้มแรก NCT 2018 Empathy ในเดือนมีนาคม ซึ่งทำยอดพรีออร์เดอร์ได้กว่า 2 แสนอัลบั้ม และขึ้นอันดับ 1 ในชาร์ตอัลบั้มที่ประเทศเกาหลี, อันดับ 1 บนชาร์ต iTunes 22 ประเทศ, อันดับ 1 ในชาร์ตเพลงเกาหลีบนเว็บไซต์ Xiami Music และอันดับ 1 บนชาร์ตมิวสิกวิดีโอเพลงใน Apple Music กว่า 30 ประเทศทั่วโลก

 

Photo: NCT 127 /Twitter

 

ก่อนที่ NCT จะเดินหน้าเผยแพร่วัฒนธรรมเคป๊อปไกลยิ่งขึ้น เมื่อ NCT 127 ได้รับเลือกจาก Apple Music ให้เข้าร่วมในซีรีส์ Up Next ในเดือนตุลาคม หนึ่งในโปรแกรมรายเดือนของ Apple Music ที่นำศิลปินที่กำลังสร้างชื่อ มีผลงาน หรือกำลังได้รับความสนใจมาโปรโมตผ่านช่องทางต่างๆ เพื่อให้เป็นที่รู้จักมากขึ้น ทำให้พวกเขามีโอกาสพาเพลง Regular (เวอร์ชันภาษาอังกฤษ) ไปโปรโมตตามรายการต่างๆ ในสหรัฐอเมริกา เช่น Mickey’s 90th Spectacular, Jimmy Kimmel Live!, Good Day L.A. และมีโอกาสได้ร่วมเดินพรมแดงในงาน American Music Awards 2018 ที่จัดขึ้นใน Microsoft Theater แคลิฟอร์เนีย ลอสแอนเจลิส

 

 

และการเดินสายโปรโมตไกลถึงสหรัฐอเมริกาของพวกเขาก็ผลิดอกออกผลให้เห็น เมื่ออัลบั้มเต็มชุดแรก Regular-Irregular ไต่ขึ้นอันดับ 86 บนชาร์ต Billboard 200 และต่อเนื่องกับเพลง Simon Says จากรีแพ็กเกจอัลบั้ม Regulate ในเดือนพฤศจิกายน ที่สามารถไต่ขึ้นสู่อันดับ 1 ของชาร์ต Billboard World Digital Song Sales ประจำวันที่ 8 ธันวาคมได้สำเร็จ ทำให้ NCT 127 เป็นศิลปินเคป๊อปลำดับที่ 13 ที่พาเพลงของตัวเองขึ้นอันดับ 1 และนับเป็นบอยแบนด์เกาหลีวงที่ 4 ต่อจาก BIGBANG, BTS และ EXO

 

นอกจากนี้ NCT 127 ยังทำสถิติเป็นบอยแบนด์ที่ขึ้นอันดับ 1 บนชาร์ต Billboard World Digital Song Sales ได้เร็วสุดด้วยระยะเวลา 2 ปี 5 เดือน หลังจากเดบิวต์ในเดือนกรกฎาคม 2016

 

 

Photo: NCT DREAM /Twitter

 

ตอกย้ำความสำเร็จระดับสากลส่งท้ายกับยูนิต NCT DREAM ที่นิตยสาร Time เลือกให้พวกเขาติด 1 ใน 25 วัยรุ่นที่ทรงอิทธิพลสุดแห่งปี 2018 ร่วมกับวัยรุ่นคนอื่นๆ อาทิ คีเลียน เอ็มบัปเป้ นักฟุตบอลวัย 19 ปี จากทีมชาติฝรั่งเศส, โคลอี คิม นักกีฬาสโนว์บอร์ดสัญชาติอเมริกันเชื้อสายเกาหลีวัย 18 ปี ทีมชาติสหรัฐอเมริกา, อาดุต อาเคช นางแบบผู้ลี้ภัยวัย 18 ปี ที่สร้างปรากฏการณ์ในวงการแฟชั่น เป็นต้น

 

แต่ก็น่าเสียดายที่แผนการเดบิวต์ในประเทศจีนของ NCT อย่าง NCT CHINA ที่มีแพลนจะเปิดตัวในปี 2018 ยังคงเงียบกริบ แต่ SM Entertaiment ก็ยังมีโปรเจกต์ร่วมกับศิลปินต่างชาติและผลงานเดบิวต์ในสหรัฐอเมริกาอื่นๆ ที่น่าสนใจ อาทิ คีย์ วง SHINee ที่ร่วมงานกับวงทรีโอจากประเทศอังกฤษอย่าง Years & Years ในซิงเกิล If You’re Over Me เวอร์ชันรีมิกซ์ จากสตูดิโออัลบั้มชุดที่ 2 ที่มีชื่อว่า Palo Santo

 

 

Super Junior กับวง Reik วงดนตรีจากประเทศเม็กซิโก ในเพลง One More Time (Otra Vez) จากสเปเชียลมินิอัลบั้ม One More Time ที่สามารถติดอันดับ 18 ในชาร์ต Latin Digital Song Sales และอันดับ 5 ในชาร์ต Latin Pop Digital Song Sales ได้สำเร็จ ซึ่งนับเป็นการร่วมงานกับศิลปินต่างชาติครั้งที่สองของวง Super Junior หลังจากที่พวกเขาเคยร่วมงานกับ เลสลี เกรซ นักร้องนักแต่งเพลงสาวชาวอเมริกันในเพลง Lo Siento จากอัลบั้มรีแพ็กเกจชุดที่ 8 Replay ในเดือนเมษายนที่ผ่านมา

 

 

เลย์ สมาชิกชาวจีนของวง EXO กับการเดบิวต์อัลบั้ม NAMANANA ในสหรัฐอเมริกา โดยมีเพลง NAMANANA เป็นเพลงไตเติล ซึ่งในอัลบั้มนี้มีทั้งหมด 22 เพลง แบ่งเป็นภาษาจีน 11 เพลง และภาษาอังกฤษ 11 เพลง ซึ่งทำให้เขาได้ร่วมงานกับ Rice n’ Peas, Bazzi, 153 Joombas Music Group รวมถึงได้ขึ้นแสดงร่วมกับโปรดิวเซอร์ชื่อดังชาวนอร์เวย์ อลัน วอล์กเกอร์ ในเทศกาลดนตรีระดับโลก Lollapalooza ในสหรัฐอเมริกา

 

 

และปิดท้ายกับ เวนดี้ วง Red Velvet ที่ได้ร่วมงานกับศิลปินระดับโลกอย่าง จอห์น เลเจนด์ ในเพลง Written In The Stars จากโปรเจกต์ STATION X 0 โปรเจกต์ที่นำเสนอเพลงคอลลาบอเรชันกันระหว่างหลากหลายศิลปิน โปรดิวเซอร์ และนักแต่งเพลงของ SM Entertainment ซึ่งการคอลลาบอเรชันครั้งนี้นับเป็นครั้งที่ 2 ของเวนดี้ที่มีโอกาสได้ร่วมงานกับศิลปินต่างชาติ เนื่องจากเธอเคยร่วมฟีเจอริงในซิงเกิล Vente Pa’ Ca เวอร์ชันภาษาอังกฤษของศิลปินชาวโคลอมเบียอย่าง ริกกี้ มาร์ติน มาก่อนแล้วในเดือนธันวาคม ปี 2017

 

Photo: BLACKPINK /Facebook

 

YG Entertainment

นับเป็นอีกหนึ่งปีแห่งความเปลี่ยนแปลงของ YG Entertainment ที่ทำให้เราได้เห็นความเคลื่อนไหวในหลากหลายรูปแบบและความรู้สึก แต่ยังคงไว้ซึ่งความเข้มงวดของการคัมแบ็กที่แฟนคลับยังคงต้องลุ้นกันอย่างใจจดใจจ่อจาก ยางฮยอนซอก ซีอีโอของค่าย YG Entertainment กันตั้งแต่ต้นปียันท้ายปี

 

เริ่มตั้งแต่การยุติสัญญาของ PSY เจ้าของเพลงฮิต Gangnam Style, Gentleman, Daddy ฯลฯ ในเดือนพฤษภาคม ที่หลังจากเซ็นสัญญากับ YG Entertainment มานานกว่า 8 ปี ตอนนี้ก็ถึงเวลาที่เขาตัดสินใจเลือกเดินทางใหม่ และนับเป็นการจากลากันด้วยดี

 

ในขณะที่วงเกิร์ลกรุ๊ปของค่ายอย่าง BLACKPINK ที่ถึงแม้จะมีรายการเรียลิตี้ BLACKPINK HOUSE มาให้แฟนๆ ติดตามตั้งแต่ต้นปี แต่ BLINK (ชื่อแฟนคลับของวง BLACKPINK) ก็ยังคงเฝ้ารอการคัมแบ็กของพวกเธออย่างใจจดใจจ่อ จนกระทั่งในเดือนมิถุนายน BLACKPINK คัมแบ็กกลับมากับมินิอัลบั้ม SQUARE UP ที่มีเพลง DDU-DU DDU-DU เป็นเพลงไตเติล ซึ่งได้รับเสียงตอบรับจากแฟนๆ อย่างท่วมท้น ทั้งการขึ้นอันดับ 1 บนชาร์ต iTunes กว่า 49 ประเทศ, สามารถทำยอดขายอัลบั้มได้ 102,001 อัลบั้มภายในสัปดาห์แรก, มียอดวิวบนยูทูบกว่า 36.2 ล้านวิวภายใน 24 ชั่วโมงแรก และทำยอดวิวครบ 100 ล้านวิวภายใน 10 วัน ซึ่งถือว่าเร็วที่สุดในบรรดามิวสิกวิดีโอทั้งหมดของพวกเธอ

 

ก่อนที่เดือนตุลาคม YG Entertainment จะเซ็นสัญญากับ Interscope Records บริษัทลูกของ UMG (Universal Music Group) เพื่อให้ผลงานของ BLACKPINK แพร่หลายไปสู่ตลาดเพลงระดับสากลมากขึ้น โดย Interscope Records เป็นค่ายสำคัญใน UMG ที่มีศิลปินในสังกัดอย่าง เลดี้ กาก้า, ลานา เดล เรย์, มาดอนน่า, เซเลนา โกเมซ, เคนดริก ลามาร์, Maroon 5 และ The 1975 และในเดือนเดียวกันนั้น BLACKPINK มีโอกาสได้ร่วมงานกับ ดัว ลิปา นักร้องสาวชาวอังกฤษวัย 22 ปี ในเพลง Kiss and Make Up ในอัลบั้ม Dua Lipa (Complete Edition)

 

 

ก่อนที่ BLACKPINK จะประกาศทัวร์คอนเสิร์ต BLACKPINK 2018 Tour [In Your Area] Seoul x BC Card ในเดือนพฤศจิกายน ซึ่งในเวลาไล่เลี่ยกัน YG Entertainment ได้ออกมาประกาศถึงการทำกิจกรรมเดี่ยวของสมาชิกวง BLACKPINK ซึ่งเริ่มจาก เจนนี่ กับเพลงที่มีชื่อว่า SOLO ที่เปิดตัวอย่างเป็นทางการในวันที่ 12 พฤศจิกายน พร้อมกับสถิติจำนวนผู้ฟังกว่า 1,106,862 คนใน 24 ชั่วโมงแรกบน Melon และขึ้นอันดับ 1 ในชาร์ต World Digital Song Sales ซึ่งนับเป็นศิลปินเดี่ยวเกาหลีคนที่ 6 ต่อจาก PSY, CL, G-Dragon, Taeyang และ J-Hope

 

 

และจากความสำเร็จตลอดครึ่งปีหลัง ทำให้ BLACKPINK ประกาศเดินสายทัวร์คอนเสิร์ต BLACKPINK 2019 World Tour [In Your Area] พร้อมเผยรายชื่อประเทศเซตแรกที่จะเดินทางไปอย่าง ไทย, อินโดนีเซีย, ฮ่องกง, ฟิลิปปินส์, สิงคโปร์, มาเลเซีย และไต้หวัน ซึ่งหลังจากเปิดจำหน่ายบัตรคอนเสิร์ตทั้ง 2 รอบในประเทศไทย ก็สร้างปรากฏการณ์ Sold Out อย่างรวดเร็ว จนทำให้ต้องเพิ่มรอบการแสดงในเป็น 3 รอบ และ Sold Out หลังเปิดขายบัตรได้ไม่นานอีกเช่นเคย ทำให้ BLACKPINK เป็นเกิร์ลกรุ๊ปวงแรกที่แสดงในอิมแพ็ค อารีน่า เมืองทองธานี มากถึง 3 รอบ

 

Photo: YG FAMILY /Twitter

ทวิตเตอร์ออฟฟิเชียล YG FAMILY โพสต์ภาพขอบคุณ BLINK จากทั่วโลก กับการสนับสนุน BLACKPINK บน Spotify ที่ในปีนี้พวกเธอมียอดสตรีมสูงถึง 410 ล้านครั้ง และมีแฟนๆ ติดตามมากกว่า 20 ล้านคนใน 65 ประเทศ

 

 

นอกจากความสำเร็จของ BLACKPINK YG Entertainment ยังเดินหน้าเข้าสู่สากลอย่างต่อเนื่อง กับการจับมือกับสตรีมมิงแพลตฟอร์มอย่าง Netflix สร้างซีรีส์ซิตคอมจำนวน 8 ตอนที่มีชื่อว่า YG Future Strategy Office หรือ YG SFO นำแสดงโดยน้องเล็กของ BIGBANG อย่าง ซึงรี ร่วมด้วยชาว YG ทั้งหน้าเก่าและหน้าใหม่ที่โผล่มาสร้างเสียงหัวเราะกับมุกตลกเสียดสีที่มีให้เห็นทุกอีพี

 

 

ก่อนปิดท้ายปลายปีกับรายการเซอร์ไววัล YG Treasure Box รายการเฟ้นหาบอยกรุ๊ปหน้าใหม่ โดยแบ่งเด็กฝึกหัดชาวเกาหลีและญี่ปุ่น 29 คน ออกเป็น 4 กรุ๊ป คือ A, B, C และ J ซึ่งน่าสนใจว่าในขณะที่ SM Entertainment และ JYP Entertainment มีแผนการเดบิวต์ในประเทศจีน และมีสมาชิกชาวจีนอยู่ในสังกัด YG Entertainment จะมีแผนการอย่างไรกับเด็กฝึกหัดชาวญี่ปุ่นที่มีอยู่ในขณะนี้

 

Photo: Stray Kids /Facebook

 

JYP Entertainment

ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ปล่อยผลงานคอลลาบอเรชันกับศิลปินต่างชาติเหมือนกับอีก 2 ค่ายก่อนหน้า แต่ JYP Entertainment ก็ยังรักษาและเพิ่มฐานแฟนคลับได้อย่างต่อเนื่องและเหนียวแน่น ทั้งจากการปล่อยผลงานเพลงและทัวร์คอนเสิร์ตตลอดทั้งปี รวมถึงการเดบิวต์วงบอยกรุ๊ปทั้งในเกาหลีและจีนที่น่าจับตาไม่ใช่น้อย

 

เริ่มจากวงน้องใหม่อย่าง 9 หนุ่ม Stray Kids ที่เปิดตัวจากพรีเดบิวต์อัลบั้ม Mixtape ในเดือนมกราคม และเดบิวต์อย่างเป็นทางการไปเมื่อเดือนมีนาคมกับมินิอัลบั้มแรก I am NOT โดยพวกเขาเป็นหนึ่งในผลผลิตจากรายการเซอร์ไววัลชื่อเดียวกันอย่าง Stray Kids ของ JYP Entertainment ที่ออกอากาศในปี 2017 และถึงแม้จะเป็นวงน้องใหม่ แต่สถิติยอดวิวมิวสิกวิดีโอ 24 ชั่วโมงแรกของพวกเขาก็เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดและน่าสนใจ ตั้งแต่เพลง Hellevator ที่ออกสตาร์ทในปี 2017 ที่ 1,093,622 วิว ก่อนจะขยับมาที่เพลง District 9 ที่สามารถทำได้ถึง 4,274,649 วิว และ My Pace ที่เพิ่มขึ้นมาถึง 7,280,084 วิว

 

Photo: GOT7 /Facebook

 

ในขณะที่รุ่นพี่ร่วมค่ายอย่าง GOT7 ที่ในปีนี้พวกเขาเดินทางไปเปิดคอนเสิร์ต Eyes On You World Tour 2018 ตั้งแต่เดือนพฤษภาคมถึงสิงหาคม ทั้งในเอเชียและสหรัฐอเมริกา ซึ่งการเดินทางไปแสดงคอนเสิร์ตในสหรัฐอเมริกาในครั้งนี้ ทำให้พวกเขาได้รับความสนใจจากหลายสื่อใหญ่ในสหรัฐฯ อาทิ รายการ Good Day New York ของช่อง FOX5, ช่อง People TV, นิตยสาร People, Billboard, Forbes, Nylon ฯลฯ

 

และจากการจัดอันดับของ Billboard Hot Tours ในเดือนสิงหาคม GOT7 เป็นศิลปินเอเชียกลุ่มเดียวที่สามารถติดอันดับ 9 ในการเดินทางเวิลด์ทัวร์ในสหรัฐอเมริกาจาก Eyes On You World Tour 2018 โดยการแสดงคอนเสิร์ตของพวกเขาเมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม ที่ The Forum ใน Inglewood แคลิฟอร์เนีย ลอสแอนเจลิส เพียงที่เดียว สามารถทำรายได้รวมถึง 1.3 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 43 ล้านบาท

 

Photo: TWICE /Facebook

 

เช่นเดียวกันกับ TWICE ที่ยังคงมีฐานแฟนคลับในญี่ปุ่นหนาแน่น และในปีนี้ได้ปล่อยเพลงฮิตติดหูออกมาให้แฟนๆ ฟังอย่างต่อเนื่อง อาทิ What is Love, Dance The Night Away และมินิอัลบั้มชุดที่ 6 กับเพลง YES or YES ที่สามารถคว้าอันดับ 2 ประจำสัปดาห์บนยูทูบได้ทันทีที่ปล่อยมิวสิกวิดีโอ และสามารถสร้างยอดวิวกว่า 31.4 ล้านวิวภายใน 24 ชั่วโมง และติดอันดับ 7 ในวิดีโอที่มียอดวิวมากสุดใน 24 ชั่วโมง

 

Photo: DAY6 /Facebook

 

นอกจากวงบอยแบนด์และเกิร์ลกรุ๊ปแล้ว JYP Entertainment ยังมีวงดนตรีอย่าง DAY6 ที่ในปีนี้พวกเขาเดินทางแสดงคอนเสิร์ตต่อเนื่องกว่า 8 ประเทศ ใน 15 เมือง กับคอนเสิร์ต DAY6 1ST WORLD TOUR ‘YOUTH’ IN BANGKOK ที่มาระเบิดความมันในประเทศไทยไปเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา และลากยาวต่อเนื่องถึงปี 2019 ในทวีปยุโรป โดยก่อนจบปีนี้พวกเขาปล่อยมินิอัลบั้มที่ 4 Remember Us: Youth Part 2 ทิ้งท้าย ซึ่งสามารถกวาดชาร์ตอันดับ 1 ใน iTunes ได้กว่า 14 ประเทศ จากเพลง Days Gone By

 

Photo: Boy Story /Facebook

 

และอีกหนึ่งโปรเจกต์ที่ไม่พูดถึงไม่ได้ของ JYP Entertainment ก็คือ การร่วมมือกับ Tencent Music Entertainment ในประเทศจีน สร้างวงบอยแบนด์ที่มีชื่อว่า Boy Story ซึ่งประกอบไปด้วยสมาชิกสัญชาติจีนทั้งหมด 6 คน ที่มีอายุระหว่าง 11-14 ปี ซึ่งเด็กทุกคนผ่านการคัดเลือกจากการออดิชันช่วงปลายปี 2016 และใช้เวลา 1 ปีในการฝึกฝนสกิลการร้องและการเต้น ก่อนปล่อยพรีเดบิวต์ออกมา 3 เพลงในเดือนกันยายน 2017 และปล่อยมินิอัลบั้มแรกที่มีชื่อว่า Enough เมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา ถึงแม้ว่าวง Boy Story จะทำกิจกรรมในประเทศจีนเป็นส่วนใหญ่ แต่ก็น่าสนใจว่าโปรเจกต์นี้จะสามารถไปไกลได้ขนาดไหน

 

 

นอกเหนือจากค่ายยักษ์ใหญ่และศิลปินข้างต้น ในปีนี้เรายังได้เห็นศิลปินเคป๊อปอีกหลายคนและหลายวงที่ช่วยกันขับเคลื่อนอุตสาหกรรมดนตรีเกาหลีให้ไปสู่ระดับโลก อาทิ วง MONSTA X จากค่าย Starship Entertainment ที่ในปีนี้นอกจากจะปล่อยมินิอัลบั้ม The Connect: Dejavu ที่มีเพลงอย่าง Jealousy และอัลบั้มเต็มชุดที่ 2 Take.1 Are You There? กับเพลงโปรโมตสุดร้อนแรง Shoot Out แล้ว MONSTA X ก็เดินหน้าเข้าสู่เส้นทางสากลมากขึ้น กับการร่วมทำออริจินัลคอนเทนต์กับ Rakuten Viki ในรูปแบบสารคดีสั้นที่มีชื่อว่า When You Call My Name ร่วมกับนักร้องนักแต่งเพลงชื่อดัง Gallant ซึ่งในสารคดียังมีการร่วมฟีเจอริงเพลง Beautiful จากอัลบั้ม The Clan Pt. 2.5: The Final Chapter ในปี 2017 ของ MONSTA X ที่ Gallant ร้องเป็นภาษาเกาหลีอีกด้วย

 

 

ทิฟฟานี่ ยัง จากวง Girls’ Generation ที่เซ็นสัญญากับ Paradigm Talent Agency เอเจนซีในสหรัฐอเมริกาที่ดูแลศิลปินดังอย่าง เจสัน มราซ, เอ็ด ชีแรน, อลัน วอล์กเกอร์ และ Imagine Dragons ซึ่งในปีที่ผ่านมาทิฟฟานี่ได้ไม่ทำให้แฟนๆ ต้องรอนาน ด้วยการปล่อยเพลง Over My Skin, Teach You และ Peppermint ที่เนื้อเพลงส่วนใหญ่เป็นภาษาอังกฤษเกือบทั้งหมดออกมาให้ฟังกัน

 

 

Se So NeonAdoy และ HYUKOH

 

Offonoff และ Se So Neon

 

K-Indie Music Scene

ที่น่าสนใจไม่แพ้เคป๊อปกระแสหลักก็คือ ดนตรีนอกกระแส ที่แม้ไม่ได้มีข่าวหรือไวรัลอย่างมากมาย แต่ก็ต้องยอมรับว่าฝีมือไปไกลในระดับสากลได้อย่างที่แฟนเพลงทั่วโลกยอมรับ

 

ศิลปินชื่อคุ้นหู เพราะเคยมาเปิดคอนเสิร์ตในเมืองไทยด้วยแล้วเหล่านี้ เป็นผลผลิตทางดนตรีรุ่นใหม่ที่กำลังมาแรงในหมู่นักฟังเพลงทั้งในและนอกประเทศเกาหลี ไม่ว่าจะเป็นวงอินดี้ HYUKOH ที่กำลังอยู่ระหว่างเวิลด์ทัวร์ทั้งสหรัฐอเมริกา เอเชีย รวมถึงฝั่งยุโรปในปีหน้า หรือวง Adoy วงซินธ์ป๊อปเกาหลี 4 สมาชิกที่เพิ่งรวมตัวกันในปี 2016, Se So Neon วงอินดี้ที่มาแรง กับรางวัล Rookie of the Year จากงาน Korean Music Awards 2018, offonoff คู่หูดูโอ้ (0Channel และ Colde) ที่เจอกันบน SoundCloud ก่อนจะรวมวงเดบิวต์ในปี 2015

 

offonoff

 

Loco, Zico, Bobby, DPR Live

 

ข้ามมาที่สายฮิปฮอป แรปเปอร์ ก็ต้องบอกว่าคึกคักไม่แพ้กัน ดังจะเห็นได้จากความแข็งแรงของรายการ Show Me The Money ที่ได้รับความนิยมมาจนถึงซีซัน 7 ในปีนี้ และสร้างศิลปินเข้าสู่วงการจำนวนไม่น้อย ไม่ว่าจะเป็น Loco ผู้ชนะจากซีซัน 1 ที่ได้เซ็นสัญญาเข้าสังกัด AOMG และเป็นกำลังสำคัญของค่ายจนทุกวันนี้ หรือ Bobby จากวง iKON ที่มาเข้าแข่งขันเพื่อแสดงความสามารถ จนได้รับรางวัลชนะเลิศในซีซัน 3

 

นอกจากนี้ยังมี DPR Live หรือ ฮงดาบิน แรปเปอร์ที่ได้รับความนิยมตั้งแต่เดบิวต์อัลบั้มแรก Coming to You Live ในปี 2017 ที่เพิ่งมีคอนเสิร์ตในบ้านเราเช่นกัน, Zico หรือ อูจีโฮ แรปเปอร์ โปรดิวเซอร์ นักแต่งเพลง สมาชิกวง Block B ที่เคยมีโซโล่อัลบั้ม Gallery (2015) และ Television (2017) เขาได้รับความนิยมทั้งในสายเมนสตรีมและใต้ดิน

 

รวมถึงการข้ามทวีปไปเติบโตของ เจย์ ปาร์ค ผู้ก่อตั้งค่ายฮิปฮอป AOMG ที่เซ็นสัญญากับค่าย Roc Nation ของแรปเปอร์ชื่อดัง เจย์ ซี ไปเมื่อปี 2016 และเพิ่งปล่อยอัลบั้ม Ask Bout Me ที่มีมิวสิกวิดีโอ Soju ออกมาเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา

 

มิวสิกวิดีโอ Soju

 

What’s Next 2019

อีดงยอน อาจารย์สอนทฤษฎีวัฒนธรรมที่ Korea National University of Arts ผู้เขียนหนังสือเกี่ยวกับอุตสาหกรรมดนตรี ให้สัมภาษณ์ว่า อุตสาหกรรมเคป๊อปมีความแตกต่างจากประเทศอื่น เราจะเห็นว่าบริษัทหลักๆ อย่าง JYP, SM และ YG ต่างเป็นทั้งค่ายเพลง บริษัทจัดการและดูแลศิลปินในบริษัทเดียวกัน เป็นระบบอุตสาหกรรมที่เราเรียกว่า ‘ระบบการสร้างไอดอล’ ที่จะใช้เวลาราว 3-5 ปีในการพัฒนาเป็นศิลปิน ทั้งการ Grooming พัฒนาบุคลิกภาพ ความสามารถด้านการร้อง เต้น เอ็นเตอร์เทน รูปร่างหน้าตา ภาษา รวมถึงพัฒนาการด้านดนตรี

 

“ต้นทุนระบบเคป๊อปของเกาหลีมีสูงมาก และต้องใช้เงินลงทุนมหาศาล ดังนั้นการที่จะยังเติบโตต่อไปได้ก็ต้องอาศัยเม็ดเงินจากนอกประเทศร่วมด้วย” เขายังเชื่อว่าการบริโภคจากนอกประเทศยังคงเป็นปัจจัยสำคัญต่อไป นอกจากเรื่องเม็ดเงิน ยังเป็นความตั้งใจที่จะเผยแพร่วัฒนธรรมเกาหลีไปสู่สังคมโลก ซึ่งในเรื่องนี้ก็ได้รับแรงสนับสนุนโดยตรงจากรัฐบาลเกาหลี ที่ทำให้อุตสาหกรรมดนตรีเคป๊อปเติบโตอย่างรวดเร็ว

 

น่าสนใจว่าในปี 2019 พรมแดนเรื่องดนตรีจะยิ่งพร่าเลือนด้วยผลของโลกดิจิทัลที่ทำให้คนในต่างวัฒนธรรม ต่างชาติ ต่างภาษา ได้เปิดกว้างทำความรู้จักวัฒนธรรมดนตรีขั้วตรงข้าม และเมื่อดนตรีเกาหลีสร้างรากฐานที่มั่นคงไว้แล้ว คงต้องจับตาดูว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น และพวกเขาสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ หรือปรับเปลี่ยนอุตสาหกรรมดนตรีโลกอย่างไร

 

พิสูจน์อักษร: ภาวิกา ขันติศรีสกุล

อ้างอิง:

FYI
  • ในปี 2016 มีรายงานว่าอุตสาหกรรมเพลงเกาหลีทำรายได้ทั่วโลก 4.17 พันล้านเหรียญสหรัฐ
  • ระหว่างเดือนสิงหาคม ปี 2016-2017 วิดีโอของศิลปินเคป๊อปสตรีมผ่านทาง YouTube 24,000 ล้านครั้ง โดยเฉพาะวง BTS ที่ทำยอดวิวได้สูงกว่าศิลปินตะวันตกหลายคน ไม่ว่าจะเป็น เลดี้ กาก้า หรือ เซเลนา โกเมซ
  • ตลอดปี 2018 ที่ผ่านมา มีศิลปินเกาหลีเดินทางมาจัดคอนเสิร์ตและงานแฟนมีตติ้งในประเทศไทยมากกว่า 80 ครั้ง
  • ในปี 2018 มีอัลบั้มเพลงออกจำหน่ายในเกาหลีใต้มากกว่า 400 อัลบั้ม
  • The Ministry of Culture, Sports and Tourism (MCST) รายงานว่าอุตสาหกรรมดนตรีเกาหลีเติบโตขึ้นโดยเฉลี่ย 4.7 เปอร์เซ็นต์ต่อปี นับจากปี 2012-2016 โดยเฉพาะในปี 2016 ที่มีการเติบโตราว 5.3 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งสูงกว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจของเกาหลีใต้เสียอีก
  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising