จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ให้สัมภาษณ์กับ THE STANDARD ถึงสถานการณ์หน้ากากอนามัยทางการแพทย์ หรือ Surgical Mask ขาดแคลน โดยเฉพาะในโรงพยาบาล ระบุว่า กรณีนี้เป็นส่วนที่กระทรวงสาธารณสุขจะต้องเข้าไปบริหารจัดการตามโควตา 7 แสนชิ้น ที่ต้องจัดสรรให้กับโรงพยาบาลต่างๆ โดยจะมีการจัดลำดับให้กับโรงพยาบาลที่ขาดแคลนอย่างหนักก่อน ขณะที่บางโรงพยาบาลได้มีการตรวจแล้วพบว่า มีการจัดสรรให้แล้ว แต่อาจขาดการสื่อสารภายในองค์กร
อย่างไรก็ตาม ศูนย์บริหารจัดการหน้ากากจะจัดการประชุมทุกวันโดยไม่มีข้อแม้ เพื่อจัดสรรปริมาณหน้ากากในแต่ละวัน ถ้าหากหน้ากาก 7 แสนชิ้น ที่จัดสรรให้กระทรวงสาธารณสุขไม่เพียงพอ ก็เตรียมปรับเพิ่มเป็น 9 แสนชิ้น แต่ทั้งนี้ก็หมายความว่า ในส่วนที่จัดสรรให้กับประชาชนก็ต้องปรับลดลงเหลือจากเดิม 5 แสนชิ้น จะเหลือเพียง 3 แสนชิ้น เพราะกำลังการผลิตมีจำกัดเพียง 1.2 ล้านชิ้นต่อวัน
ส่วนจะมีหน้ากากที่เล็ดลอดจากกระบวนการจัดสรรไปสู่การกักตุนหรือไม่ จุรินทร์ยืนยันว่า ถ้ามีการกักตุนก็ต้องดำเนินการตามกฎหมาย แต่โดยปกติจะมีเจ้าหน้าที่จากกระทรวงพาณิชย์ประจำโรงงาน 2 คน ร่วมกับตัวแทนจากกองทัพไทย เพื่อมาช่วยอำนวยความสะดวกต่างๆ
ขณะที่ราคาหน้ากากอนามัยทางการแพทย์ จุรินทร์ระบุว่า หน้ากากอนามัยเป็นสินค้าควบคุม มีการประกาศราคาชัดเจนว่าไม่เกิน 2.50 บาท โดยโรงงานจะต้องส่งออกราคาไม่เกินชิ้นละ 2 บาท แต่ต้องยอมรับว่า ต้นทุนการผลิตหน้ากากอนามัยแพงขึ้นเกิน 2 บาทต่อชิ้นแน่นอน แต่ในส่วนที่เกิน 2 บาท รัฐบาลจะชดเชยให้ทั้ง 11 โรงงานที่ผลิตหน้ากากอนามัย
ทั้งนี้ จุรินทร์ได้ฝากถึงประชาชนในช่วงที่หน้ากากทางการแพทย์ขาดแคลนว่า ฝากให้ประชาชนใช้หน้ากากทางเลือก เช่น หน้ากากผ้ามากขึ้น เนื่องจากสามารถใช้ได้หลายครั้ง และสามารถซักได้ เพื่อลดความต้องการของหน้ากากทางการแพทย์ เพื่อนำไปจัดสรรให้โรงพยาบาลที่ขาดแคลนมากขึ้น