×

จุรินทร์ นั่งหัวหน้าประชาธิปัตย์คนที่ 8 นำทีมอเวนเจอร์สกอบกู้พรรค สร้างศรัทธาประชาชน

โดย THE STANDARD TEAM
15.05.2019
  • LOADING...
จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์

จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รักษาการหัวหน้าพรรค และอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ชนะการเลือกตั้ง ได้รับตำแหน่งหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์คนที่ 8 ด้วยคะแนนร้อยละ 50.5995 ส่วน พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ได้คะแนนร้อยละ 37.2160 กรณ์ จาติกวณิช ได้คะแนนร้อยละ 8.4881 และ อภิรักษ์ โกษะโยธิน ได้คะแนนร้อยละ 3.6965

 

การประชุมใหญ่วิสามัญประจำปี 2562 พรรคประชาธิปัตย์ เพื่อเลือกหัวหน้าพรรค มีสมาชิกพรรคเป็นองค์ประชุม 309 คน มาประชุม 291 คน และมี เทอดพงษ์ ไชยนันทน์ ประธานคณะกรรมการการเลือกตั้งหัวหน้าพรรค ทำหน้าที่ประธานดำเนินการประชุม เริ่มจากการแสดงวิสัยทัศน์ของผู้สมัครทั้ง 4 คน ได้แก่

 

อภิรักษ์ โกษะโยธิน อดีตผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ผู้สมัครหัวหน้าพรรคหมายเลข 1 กล่าวว่า หมายเลข 1 เป็นหมายเลขที่ตนลงสมัครรับเลือกตั้งผู้ว่า กทม. แต่ก้าวแรกคือการสมัครสมาชิกพรรคเมื่อ 27 ปีก่อน เพราะเชื่อมั่นในอุดมการณ์ของพรรคที่เคารพสถาบันพระมหากษัตริย์และทำงานเพื่อพี่น้องประชาชน ตนเริ่มทำงานคณะกรรมการยุทธศาสตร์ และปี 2547 จึงได้ลงสมัครเป็นผู้ว่า กทม. โดยมุ่งหวังว่าจะใช้ประสบการณ์ทำงานในภาคเอกชนเข้ามาทำงานเพื่อประชาชน และในวันนี้ทุกคนที่ฟังตนอยู่ ไม่ว่าจะเลือกพรรคประชาธิปัตย์ หรือเคยชื่นชอบพรรคประชาธิปัตย์ แม้จะสงสัยว่าตนจะไม่ได้เป็น ส.ส. แต่มาลงสมัครหัวหน้าพรรค จะทำงานได้หรือไม่

 

ตนตั้งใจจะเอาบทเรียนจากการเลือกตั้งครั้งนี้ เอาวิกฤตมาสร้างเป็นโอกาสที่รวมพลังประชาธิปัตย์ทุกคน ใช้เวลาทั้งหมดทำงานร่วมกับ ส.ส. และสาขาพรรค เพื่อปรับปรุง เปลี่ยนแปลง และต่อยอดให้เหมาะกับโลกสมัยใหม่ต่อไป ตนพร้อมทำงานไม่ว่าจะไม่ได้เป็น ส.ส. และตนได้ทำแบบสอบถามกับเพื่อนสมาชิกพรรคว่าอยากเห็นอะไร 3 เรื่องจากหัวหน้าพรรค คือ

 

1. หัวหน้าพรรคต้องดึงพลังให้ทุกคนมีความร่วมมือร่วมใจ ไม่แบ่งภูมิภาค ไม่แบ่งเพศ

 

2. อยากเห็นพรรคเปลี่ยน แต่ยังยึดมั่นควบคู่ไปกับอุดมณ์ของพรรค แต่วันนี้ทุกคนเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัยใหม่ และพรรคจำเป็นที่ต้องทำความเข้าใจคนเหล่านี้ และตนเชื่อว่ามีความสามารถที่จะนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ในการรวบรวมวิเคราะห์ข้อมูลและสื่อสาร

 

3. ต้องการให้การทำงานเปิดกว้าง เชื่อมโยงเครือข่ายของพรรคและเยาวชน ซึ่งสิ่งสำคัญของการเปลี่ยน ไม่ใช่เพราะเปลี่ยนหัวหน้าพรรค แต่ต้องเปลี่ยนเพื่อให้ตอบโจทย์ประชาชน และตนเชื่อว่าประชาชนทุกคนอยากเห็นพรรคประชาธิปัตย์กลับมาชนะเลือกตั้งเหมือนในอดีต วันนี้พรรคชนะการเลือกตั้งน้อยลงมาก แต่ตนเคยนำพรรคชนะการเลือกตั้งใน กทม. และการเลือกหัวหน้าพรรคครั้งนี้สำคัญมาก เพราะจะทำให้พรรคกลับมาชนะการเลือกตั้งอีกครั้งได้หรือไม่

 

จุรินทร์ ลักษณะวิศิษฎ์ รักษาการหัวหน้าพรรค ผู้สมัครหัวหน้าพรรคหมายเลข 2 กล่าวว่า ตนเคยเป็นเลขาธิการของ ชวน หลีกภัย และเป็นรัฐมนตรีหลายกระทรวงทั้งในยุคของชวนและอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และเคยเป็นประธานวิปรัฐบาลและวิปฝ่ายค้าน รวมทั้งยังเป็นรองหัวหน้าพรรคมาตั้งแต่ปี 2546 และตนมีวันนี้เพราะตนมีโอกาส และนี่คือสิ่งที่ตนตระหนักว่าโอกาสคือสิ่งที่มีคุณค่าสำหรับเราทุกคน และถ้าตนได้รับโอกาสเป็นหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ตนจะหยิบยื่นสิ่งนี้ให้ทุกคนที่ตั้งใจทำงานให้กับพรรคของเราโดยไม่สนว่าจะฝั่งใคร และประชาธิปัตย์ถึงเวลาต้องเปลี่ยนอย่างมีวุฒิภาวะ อุดมการณ์ที่ทำงานให้กับประชาชนอย่างซื่อสัตย์สุจริตก็ต้องไม่เปลี่ยน นโยบาย วิสัยทัศน์ต้องเปลี่ยน และระบบบริหารจัดการ ใช้ Big Data และ AI เพื่อใช้วิเคราะห์สังเคราะห์ข้อมูล ต้องเปลี่ยนบุคลากร ทีมงาน หมดยุคซูเปอร์แมน แต่ต้องเป็นยุคอเวนเจอร์ส ซูเปอร์ฮีโร่ของพรรคต้องมาร่วมกันเป็นทีมอเวนเจอร์สประชาธิปัตย์

 

วันนี้ประชาธิปัตย์เหลือแค่ 52 ที่นั่ง แต่หัวหน้าพรรคต้องคิดว่าทำอย่างไรให้ได้ที่นั่งมากกว่า 200 ในอนาคต ประชาธิปัตย์ต้องมีเอกภาพ และตนเชื่อว่าถ้าร่วมมือร่วมใจประชาธิปัตย์จะเดินไปสู่อนาคตที่ดีขึ้นได้ ตนมายืนอยู่ตรงนี้เพื่อขอโอกาส เราเชื่อว่าการให้โอกาสตนคือการให้โอกาสประชาธิปัตย์ และพร้อมร่วมมือกับทุกคนที่ตั้งใจทำงานเพื่อพรรค และพาพรรคไปเป็นที่หนึ่งในหัวใจประชาชน

 

พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ส.ส. แบบบัญชีรายชื่อ ผู้สมัครหัวหน้าพรรคหมายเลข 3 กล่าวว่า ตนมีความมั่นใจอยู่อย่างหนึ่งว่า ถึงแม้ทุกคนจะมีความชื่นชอบเกี่ยวกับตัวผู้สมัครที่แตกต่างกัน แต่สิ่งหนึ่งที่อยู่ในใจทุกคนที่เหมือนกันคือ ความรักความห่วงใยพรรค และความรักชาติรักแผ่นดิน ทุกคนปรารถนาให้พรรคกลับมาเป็นที่ 1 อีกครั้ง แต่ถ้าทุกคนไม่รวมกันเป็นหนึ่ง ไม่รวมพลัง ก็จะไม่เข้มแข็งพอให้พรรคกลับมาเป็นที่หนึ่งในหัวใจของประชาชนได้ อย่าท้อถอยกับผลการเลือกตั้งที่ผ่านมาแต่ต้องนำมาเป็นแรงผลักดันในการทำงานเพื่อประชาชนต่อไป เพื่อให้ประชาชนรับรู้ได้ว่าพรรคประชาธิปัตย์เป็นพรรคของประชาชนพึ่งพาได้

 

อันดับแรกต้องปรับการบริหารจัดการพรรคที่ไม่เปลี่ยนแปลงมากว่า 73 ปี ต้องเปิดโอกาสให้คนที่ไม่ใช่กรรมการบริหารพรรคที่มีความรู้ความสามารถเข้ามาทำงาน ต้องไม่ใช่รูปแบบหัวหน้ากับลูกน้อง แต่กรรมการบริหารพรรคคือคนที่ต้องมาทำงานให้กับพรรคเพื่อให้เป็นไปตามอุดมการณ์คือเพื่อประโยชน์ประเทศชาติ ผู้บริหารเป็นแค่หัวโขน ถ้าไม่สามารถเอาอำนาจตรงนี้มาเปิดกว้าง พรรคประชาธิปัตย์จะไม่สามารถรวมกันเป็นหนึ่งได้ เช่น หนึ่งภาคมีรองหัวหน้าคนเดียวทำงานไม่ไหว การรวมอำนาจเข้ากับหัวหน้าและเลขาธิการพรรค ต้องเปลี่ยนแปลงให้ทุกคนมีโอกาสเป็นเจ้าของพรรคที่แท้จริง เพื่อให้พรรคค้ำจุน ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และประชาชนจะสนับสนุนให้เป็นพรรคหลักในการบริหารประเทศต่อไป ตนไม่เคยสนใจตำแหน่งอะไร แต่ครั้งนี้ถึงเวลาที่ต้องเอาแนวความคิดของตนมาบริหารพรรคใหม่ ไม่รวบอำนาจ ให้เพื่อนๆ เดินไปพร้อมกันเป็นหน้ากระดาน ตนตั้งใจมาทำงาน กอบกู้ ฟื้นฟูพรรค ไม่ใช่ต้องการมามีอำนาจ พรรคประชาธิปัตย์ต้องเปลี่ยนวิธีคิดแบบชาวบ้าน พูดแบบชาวบ้าน ทำแบบชาวบ้าน ง่ายๆ สั้นๆ เข้าใจกัน เพื่อทุกคนรู้สึกว่าเป็นของประชาชน

 

กรณ์ จาติกวณิช รักษาการรองหัวหน้าพรรค ผู้สมัครหัวหน้าพรรคหมายเลข 4 กล่าวว่า ตนได้รับฟังความในใจของเพื่อนสมาชิกพรรค และสัมผัสได้ถึงความรักที่มีให้กัน หลายคนเสียน้ำตาเพราะเสียใจแทนเพื่อนอดีต ส.ส. ที่ไม่ชนะการเลือกตั้ง ในอนาคตอุดมการณ์ของหลายคนอาจจะเปลี่ยนไป แต่จะทำให้ทุกคนอยู่ร่วมกันไม่ได้ ตนจะเตรียมพื้นที่ให้ทุกคนมีที่ยืนอย่างมีศักดิ์ศรีเพื่อให้ทำงานให้กับพรรค และต้องทำให้พรรคกลับมาเป็นทางเลือกหลักของประชาชน และชนะการเลือกตั้ง ต้องทำให้การโหวตเพิ่มอย่างน้อย 20% พรรคมีพื้นฐานคือประวัติที่ยาวนาน เคยกอบกู้ประเทศ และวางรากฐานนโยบายดีๆ ไว้มากมาย เช่น การเรียนฟรี การดูแลผู้สูงอายุ เป็นทุนเดิมที่พรรคจะสามารถสร้างความเข้มแข็งโดยไม่ต้องเริ่มจากศูนย์

 

ดังนั้นพรรคต้องมีความกล้าที่จะเดินหน้าต่อจากนี้ด้วยความชัดเจนในเป้าหมาย มีความชัดเจนที่ประชาชนสัมผัสได้ว่าเลือกแล้วได้อะไร อันดับแรกคือให้ประชาชนอยู่ดีกินดี มีความก้าวหน้าในชีวิต ประเทศมีความทันสมัยแข่งขันกันชาติอื่นได้ สังคมมีความสงบ สถาบันมั่นคง พรรคต้องยึดหลักปฏิบัตินิยม ให้ความสำคัญกับการทำ เราหลีกเลี่ยงไม่ได้ว่าสุดท้ายต้องตัดสินใจร่วมหรือไม่ร่วมรัฐบาล แต่สุดท้ายประชาชนต้องอยู่ดีกินดี ประเทศชาติพัฒนา และสังคมต้องสงบจากการตัดสินใจของพรรค ไม่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนและประโยชน์ของพรรค ตนเชื่อว่าประชาชนจะสนับสนุนการตัดสินใจของพรรค วันนี้โลกเปลี่ยนไปเยอะ พรรคต้องปรับโครงสร้างการบริหารจัดการการสื่อสาร ต้องมีระบบการดูแลกันของ ส.ส. และดึงคนรุ่นใหม่เข้ามามีส่วนร่วมบริหารพรรค ตนจะนำพาทุกคนกลับมาเป็น ส.ส. และนำพาพรรคกลับมาเป็นที่พึ่งของคนทั้งประเทศ

 

ในระหว่างการลงคะแนน มีความขัดข้องของเครื่องลงคะแนนจาก กกต. จึงต้องให้ผู้ที่ลงคะแนนแล้วกลับมาลงคะแนนใหม่ และมีการใช้มือถือถ่ายภาพบัตรลงคะแนนที่หย่อนบัตร จนต้องประกาศห้ามถ่ายภาพ

 

พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า

  • LOADING...

READ MORE





Latest Stories

Close Advertising
X