×

กกร. มองไทยได้โอกาสจากความขัดแย้งสหรัฐฯ-จีน กรณีเพโลซีเยือนไต้หวัน แนะรักษาความเป็นกลาง-สร้างโอกาสเป็นฐานผลิตชิปแห่งใหม่

03.08.2022
  • LOADING...
กกร.

ที่ประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน ( กกร. ) มองว่าไทยจะได้โอกาสจากความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯ และจีน กรณี แนนซี เพโลซี ประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ เดินทางเยือนไต้หวัน พร้อมแนะไทยควรรักษาความเป็นกลางของทุกขั้วอำนาจไว้ พร้อมดึงดูดการลงทุน โดยเฉพาะการลงทุนด้านการผลิตชิป เพื่อทำให้ไทยกลายเป็นฐานการผลิตชิปที่สำคัญแห่งใหม่ และเพื่อส่งเสริมอุตสาหกรรมในประเทศ

 

ผยง ศรีวณิช ประธานสมาคมธนาคารไทย ในฐานะประธานคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ประกอบด้วย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย, สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสมาคมธนาคารไทย ระบุในที่ประชุม กกร. วันนี้ (3 สิงหาคม) ว่า ด้วยสถานะของประเทศไทยที่เป็นกลางท่ามกลางความขัดแย้ง ไทยจะสามารถใช้โอกาสจากการปรับเปลี่ยนห่วงโซ่อุปทาน และมาตรการกีดกันทางการค้าที่เกิดขึ้นจากความขัดแย้งได้ โดยเฉพาะสินค้าเกษตร พร้อมทั้งแนะว่าไทยควรรักษาสมดุล และความเป็นกลางของทุกขั้วอำนาจไว้

 

ทั้งนี้ หลังจาก แนนซี เพโลซี ประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ เดินทางเยือนไต้หวัน สำนักงานศุลกากรแห่งชาติของจีนก็ออกแถลงการณ์ในวันนี้ (3 สิงหาคม) ว่า ได้ระงับการนำเข้าสินค้าหลายรายการจากไต้หวัน ได้แก่ ผลไม้ตระกูลส้ม ปลาดาบเงิน และปลาสีกุนแช่แข็ง โดยมีผลทันที

 

ขณะที่ เกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ระบุว่า การที่ประเทศจีนงดการสั่งซื้อสินค้าจากไต้หวันหลายประเภท สิ่งเหล่านี้จึงเป็นโอกาสของสินค้าไทย ส่วนในด้านของการลงทุน ความขัดแย้งครั้งนี้จะส่งผลให้นักธุรกิจ และนักอุตสาหกรรมจำนวนมากอาจพิจารณาโยกย้ายการลงทุนเข้ามาในประเทศมากขึ้น เพราะนักลงทุนทั้งจากจีนแผ่นดินใหญ่และไต้หวัน ถือเป็นลูกค้าที่มาลงทุนในประเทศไทยเป็นอันดับต้นๆ

 

สำหรับข้อกังวลของหลายฝ่ายที่ว่า ความขัดแย้งครั้งนี้อาจทำให้ปัญหาห่วงโซ่เซมิคอนดักเตอร์ย่ำแย่หนักขึ้น เกรียงไกรมองว่าในระยะสั้นอาจเกิดภาวะขาดแคลนเพิ่มขึ้นเล็กน้อย เนื่องจากไต้หวันมีบริษัท TSMC ซึ่งเป็นบริษัทชิปอันดับ 1 ของโลก และมีส่วนแบ่งการตลาดเกือบ 60% ของตลาดโลก โดยสิ่งเหล่านี้น่าจะเป็นโอกาสของไทย เนื่องจากขณะนี้การผลิตชิปซึ่งเป็นหัวใจสำคัญ และเป็นชิ้นส่วนสำคัญของทุกอุตสาหกรรมในอนาคต เริ่มมีการหาฐานการผลิตสำรอง ซึ่งในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ก็มีหลายประเทศกำลังให้ความสนใจ

 

เกรียงไกรยังแนะไทยให้ใช้โอกาสนี้ โดยมองว่า EEC มีความพร้อมแล้ว จึงควรดึงดูดการลงทุนเข้ามาในประเทศ เพื่อทำให้ไทยเป็นฐานการผลิตชิปที่สำคัญอีกแห่ง และเพื่อส่งเสริมอุตสาหกรรมในประเทศให้มีความมั่นคงด้านชิ้นส่วนมากขึ้น

 

นอกจากนี้ ในการประชุมวันนี้ กกร. ได้คงกรอบประมาณการการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในปีนี้อยู่ที่ 2.75-3.5% ขณะที่มูลค่าการส่งออกคาดว่ายังขยายตัวได้ในกรอบ 6.0-8.0% พร้อมแนะว่าการท่องเที่ยวและมาตรการภาครัฐ คือแรงส่งเศรษฐกิจไทยในช่วงที่เหลือของปี โดยนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง หลังยกเลิกมาตรการ Thailand Pass คาดว่ามีโอกาสแตะระดับ 7-8 ล้านคน ประกอบกับยังมีแรงหนุนกำลังซื้อจากมาตรการภาครัฐ โดยเฉพาะมาตรการคนละครึ่งระยะที่ 5 ที่คาดว่าจะกระตุ้นการใช้จ่ายได้ประมาณ 3.8 หมื่นล้านบาท หรือราว 0.2% ของ GDP ซึ่งจะช่วยหนุนการเติบโตของเศรษฐกิจที่ยังเปราะบางท่ามกลางปัจจัยเสี่ยงจากภายนอกประเทศ และภาวะเงินเฟ้อที่กระทบอำนาจซื้อ

 

อย่างไรก็ตาม ที่ประชุม กกร. ยังมองว่าเศรษฐกิจในประเทศมีแนวโน้มได้รับแรงกดดันจากเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้น พร้อมปรับเพิ่มกรอบประมาณการเงินเฟ้อปีนี้ขึ้นเล็กน้อย เป็น 5.5-7.0% จาก 5.0-7.0% เนื่องจากเงินเฟ้อคาดว่าจะเร่งตัวขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง และราคาน้ำมันในตลาดโลกยังอยู่ในระดับสูง รวมทั้งการปรับขึ้นราคาสินค้าที่เริ่มกระจายตัวเป็นวงกว้างมากขึ้น นอกจากนั้นหากมีการปรับขึ้นค่าไฟในงวดเดือนกันยายน-ธันวาคม ก็จะเป็นแรงกดดันเงินเฟ้อให้เร่งตัวขึ้นได้อีก ซึ่งเงินเฟ้อที่สูงขึ้นจะกระทบอำนาจซื้อภาคครัวเรือน และต้นทุนของภาคธุรกิจ

 


 

ช่องทางติดตาม THE STANDARD WEALTH


Twitter: twitter.com/standard_wealth
Instagram: instagram.com/thestandardwealth
Official Line: https://lin.ee/xfPbXUP

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising