×

คำสาปหรือทัศนคติ กับความล้มเหลวในฤดูกาลที่ 3 ของโฆเซ มูรินโญ

06.08.2018
  • LOADING...

HIGHLIGHTS

7 Mins. Read
  • แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด นับเป็นหนึ่งในทีมที่น่าเป็นห่วงก่อนพรีเมียร์ลีกอังกฤษ ฤดูกาล 2018-2019 จะเริ่มต้นขึ้น สาเหตุจากเกมอุ่นเครื่องที่ผลงานไม่ดีและมีปัญหาภายในทีม
  • สไตล์การเล่นที่ไร้ความตื่นเต้น การโจมตีนักเตะตัวเองออกสื่อ และความพยายามใช้สงครามจิตวิทยาในรูปแบบเดิมๆ ทำให้หลายคนในวงการเริ่มนิ่งเฉยกับมูรินโญ
  • โฆเซ มูรินโญ ก้าวเข้าสู่ฤดูกาลที่ 3 กับสโมสรแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ซึ่งจากสถิติที่ผ่านมากับเชลซี 2 ครั้ง ระหว่างปี 2006-2007, 2015-2016 และเรอัล มาดริด 2012-2013 คือจุดเริ่มต้นของจุดจบสำหรับตัวเขาและความสำเร็จของสโมสร

การแข่งขัน FA Community Shield จบลง เป็นสัญลักษณ์ว่าสิ่งที่หลายคนรอคอยได้เดินทางมาถึงแล้ว นั่นคือจุดเริ่มต้นของฟุตบอลพรีเมียร์ลีกฤดูกาลใหม่

 

 

ทุกคนมีความตื่นเต้นกับการแข่งขันที่กำลังจะเริ่มต้นขึ้นใหม่ แต่มีเพียงทีมเดียวที่จะดูกังวลเป็นพิเศษหลังจากเกมอุ่นเครื่องทั้งหมดจบลง พร้อมกับปัญหาร้อยแปดที่ออกมาจากปากของ โฆเซ มูรินโญ ผู้จัดการทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด

 

“ถ้าเราไม่สร้างทีมให้ดีกว่านี้ เราก็เตรียมพบกับฤดูกาลที่ยากลำบากได้เลย” มูรินโญได้ส่งข้อความถึงผู้ใหญ่ในสโมสรก่อนเกมฟุตบอลอุ่นเครื่องนัดสุดท้ายกับบาเยิร์น มิวนิกจะเริ่มต้นขึ้น

 

ซึ่งสุดท้ายพวกเขาก็พ่ายให้กับแชมป์บุนเดสลีกาไป 0-1 พร้อมกับสถิติโอกาสยิงเพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้น

 

สถานการณ์ของทีมไม่จบลงเพียงแค่ผลงานในสนาม เพราะในช่วงระหว่างการเตรียมทีม มูรินโญประสบกับปัญหาต่างๆ กับนักเตะของเขาเอง

 

 

อองโตนี มาร์กซิยาล ศูนย์หน้าฝรั่งเศสวัย 22 ปี ได้ลงสนามอุ่นเครื่องให้กับทีมไป 2 เกมในช่วงพรีซีซัน ตัดสินใจบินจากสหรัฐฯ กลับไปฝรั่งเศสเพื่อดูแลแฟนสาว เมลานี ครูซ ที่เพิ่งให้กำเนิดลูกคนล่าสุด จนไม่สามารถกลับมาร่วมทีมในเกมที่เสมอกับเอซี มิลาน แพ้ลิเวอร์พูล และชนะเรอัล มาดริดได้ ซึ่งแทนที่จะให้กำลังใจและแสดงความยินดีกับครอบครัวของมาร์กซิยาล มูรินโญกลับให้สัมภาษณ์หลังเกมลิเวอร์พูลว่า “เขาควรจะอยู่ที่นี่แต่เขาไม่อยู่”

 

ซึ่งมาร์กซิยาลก็ได้ตอบโต้ด้วยข้อความผ่านทวิตเตอร์ว่า “ขอโทษด้วยครับ แต่ครอบครัวของผมต้องมาก่อนเสมอ”

 

เป็นการเผยให้เห็นถึงรอยร้าวภายในทีมที่กำลังก่อตัวขึ้นไปสู่ปัญหาเชิงโครงสร้างของโรงละครแห่งนี้ที่อาจพังทลายลงบนหัวของกุนซือโปรตุเกสวัย 55 ปี

 

 

เช่นเดียวกับ พอล ป็อกบา นักเตะทีมชาติฝรั่งเศสชุดแชมป์โลกปี 2018 และ โรเมลู ลูกากู ศูนย์หน้าทีมชาติเบลเยียม ที่ยังคงพักผ่อนจากการแข่งขันฟุตบอลโลกที่จบลงไปเมื่อวันที่ 16 กรกฎาคมที่ผ่านมา และไม่สามารถเดินทางมาร่วมทีมได้ในช่วงพรีซีซัน ก็ตกเป็นเป้าโจมตีจากกุนซือปีศาจแดงที่มีรายงานว่าต้องการให้ทั้งคู่ลดช่วงเวลาพักร้อนและกลับมาช่วยทีมให้ได้เร็วที่สุด

 

“เราแค่หวังว่านักเตะที่ได้รับการพักผ่อนอย่างเหมาะสม ควรดูแลตัวเองเป็นอย่างดี และหวังว่าบางคนจะทำเหมือนที่ มาร์คัส แรชฟอร์ด และฟิล โจนส์ ทำ นั่นก็คือกลับมาช่วยทีมเร็วขึ้น เพราะในช่วงต้นฤดูกาลเราจะประสบปัญหาอย่างแน่นอน”

 

นอกจากปัญหาภายในทีมแล้ว มูรินโญยังได้พยายามที่จะโจมตีคู่แข่งด้วยสงครามจิตวิทยารูปแบบที่กุนซือหลายคนสามารถจับทางได้ เช่น การโจมตีลิเวอร์พูลที่เดินหน้าเสริมทัพอย่างต่อเนื่องว่า ซื้อนักเตะขนาดนี้พวกเขาต้องได้แชมป์พรีเมียร์ลีกอย่างแน่นอน

 

 

เจอร์เกน คลอปป์ กุนซือชาวเยอรมันถึงกับออกมาให้สัมภาษณ์ถึงประเด็นนี้ว่า เป้าหมายใหญ่สุดของเขาคือการสร้างรอยยิ้มบนใบหน้าให้กับมูรินโญ เพราะทุกวันนี้เป็นสิ่งที่หาดูได้ยาก และยืนยันว่าแชมป์พรีเมียร ์ลีกเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอนอยู่แล้ว

 

ปัญหาทุกอย่างเริ่มต้นก่อตัวขึ้นอย่างหนัก ซึ่งตรงกับช่วงเวลาที่ทำให้หลายคนเริ่มหยิบยกประโยคที่ว่า “คำสาปในฤดูกาลที่ 3 ของมูรินโญ” มาพูดถึงกันอีกครั้งว่าสัญญาณทุกอย่างมาถึงแล้ว และจุดเริ่มต้นของความล้มเหลวได้มาถึงสโมสรภายใต้การคุมทีมของเขาอีกครั้ง

 

คำสาปหรือทัศนคติ

 

ภาพประกอบ: Tanya S.

 

“ล่ามแปลภาษาวันนี้ได้กลับมาล้างแค้นได้สำเร็จที่คัมป์นู” เสียงของนักพากย์ดังผ่านสายมายังผู้ชมทุกคนที่กำลังติดตามการแข่งขันฟุตบอลยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกฤดูกาล 2009-2010 รอบรองชนะเลิศในวันที่โฆเซ มูรินโญ กุนซือผู้เริ่มต้นจากล่ามของบาร์เซโลนากลับมาคุมทีมอินเตอร์ มิลาน เอาชนะบาร์เซโลนาด้วยสกอร์รวม 2 เกม 3-2

 

ความสำเร็จที่หอมหวานของเขาเกิดขึ้นกับสโมสรชั้นนำของลีกต่างๆ ทั่วยุโรป เริ่มต้นจากปอร์โตกับแชมป์ยุโรปในปี 2004 และอินเตอร์ มิลาน ในปี 2010 รวมถึงแชมป์ลีกสูงสุด ทั้งกับเชลซีรอบแรกในปี 2004-2005, 2005-2006 และรอบที่ 2 ในปี 2014-2015 แชมป์ลาลีกา สเปน กับเรอัล มาดริด ในปี 2011-2012 และเซเรียอา อิตาลี กับอินเตอร์ มิลาน ในปี 2008-2009 และ 2009-2010

 

 

แต่จากสถิติการคุมทีมที่พบเห็นตั้งแต่เขาย้ายออกจากสโมสรปอร์โตนั้นคือ มูรินโญจะไม่สามารถอยู่สโมสรไหนได้เกิน 3 ฤดูกาล ซึ่งส่วนใหญ่มักจะจบลงด้วยความแตกหัก ไม่กับนักเตะภายในทีมก็เจ้าของสโมสร หรือแม้กระทั่งแพทย์ประจำทีม

 

เริ่มต้นจากเชลซี เวทีแรกที่สร้างชื่อเสียงในอังกฤษให้กับมูรินโญ เขาได้รับโอกาสสร้างแบรนด์ใหม่ให้กับสโมสรแห่งนี้ พร้อมกับการสนับสนุนจาก โรมัน อับราโมวิช เจ้าของสโมสรชาวรัสเซียที่พร้อมทุ่มทุนสร้างสโมสรแห่งนี้ให้กลายยักษ์ใหญ่ของเกาะอังกฤษ

 

ผลที่ได้รับในช่วงเวลา 3 ปีนั้นคือ แชมป์พรีเมียร์ลีก 2 สมัยติดต่อกัน แชมป์เอฟเอคัพ ปี 2007 และแชมป์ลีกคัพอีก 3 สมัย แต่จุดแตกหักเริ่มต้นมาจาก โรมัน อับราโมวิช ตัดสินใจคว้าตัว อังเดร เชฟเชนโก้ อดีตดาวยิงคนดังของเอซี มิลานมาร่วมทีม แม้มูรินโญจะไม่เห็นด้วยก็ตาม และเป็นจุดเริ่มต้นของรอยร้าวบนความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสอง จนนำไปสู่การแยกทางกันในที่สุด

 

ต่อที่ถิ่นอินเตอร์ มิลาน ที่มูรินโญไม่ทันได้ก้าวถึงฤดูกาลที่ 3 ก็ได้รับโอกาสพิสูจน์ตัวเองกับทีมเรอัล มาดริด คู่อริร่วมลีกของสโมสรที่เขาต้องการคุมทีมมากที่สุดอย่างบาร์เซโลนา ทำให้เขาไม่รอเวลาที่จะคว้ามันไว้

 

 

แต่แม้ว่า 2 ฤดูกาลแรกเขาจะนำพาความสำเร็จมาสู่ทีมได้ สุดท้ายปัญหาภายในทีมก็เกิดขึ้นเป็นครั้งที่ 2 เมื่อนักเตะหลักของทีม ทั้งคริสเตียโน โรนัลโด, เซร์คิโอ รามอส และอีเกร์ กาซิยัส

 

รวมถึงโอกาสที่ 2 กับสโมสรเชลซี ที่เขามีปัญหากับแพทย์หญิงเอวา การ์เนโร แพทย์สนามของเชลซี รวมถึงนักเตะภายในทีม จนสุดท้ายเขาก็พ้นจากตำแหน่งผู้จัดการทีมหลังฤดูกาลที่ 3 จากทั้งเรอัล มาดริดและเชลซี

 

มาถึงสโมสรที่ 2 ในอังกฤษของเขากับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด สโมสรที่มีความคาดหวังสูง พร้อมกับนักเตะบิ๊กเนมภายในทีมอย่างพอล ป็อกบา, โรเมลู ลูกากู และ อองโตนี มาร์กซิยาล ที่สุดท้ายพอปฏิทินเดินทางมาถึงฤดูกาลที่ 3 เขาก็เริ่มสร้างปัญหากับนักเตะเหล่านี้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

 

 

สิ่งที่พบเห็นได้นอกจากปัญหาที่มักจะเริ่มต้นจากสงครามจิตวิทยาที่มูรินโญมีต่อทุกคนไม่เว้นแม้กระทั่งนักเตะภายในทีมของตัวเองแล้ว คือมูรินโญมักจะประสบความสำเร็จกับสโมสรที่เขาสามารถเริ่มต้นสร้างทีมได้ตั้งแต่แรก ไม่ว่าจะกับปอร์โต้ เชลซีในสมัยแรกที่เข้ามาคุมทีม และอินเตอร์ มิลาน ซึ่ง มัสซิโม โมรัตติ ประธานสโมสรให้อำนาจในการบริหารทีมอย่างเต็มที่

 

 

แต่ในวันที่เขาต้องเข้ามาบริหารนักเตะอย่าง คริสเตียโน โรนัลโด, เซร์คิโอ รามอส และอีเกร์ กาซิยัส กับเรอัล มาดริด หรือนักเตะอย่างเอเดน อาซาร์ กับเชลซี และในวันนี้ กองกลางแชมป์โลก พอล ป็อกบา เขากลับไม่สามารถเรียกศักยภาพของนักเตะเหล่านี้ออกมาได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ

 

ยังไม่รวมถึงนักเตะเชลซีที่เขาตัดสินใจหั่นพ้นทีมเชลซี ทั้งเควิน เดอ บรอยน์, โมฮัมเหม็ด ซาลาห์ และ โรเมลู ลูกากู ซึ่งทั้งหมดนั้นได้ถูกกาลเวลาพิสูจน์แล้วว่าเป็นนักเตะชั้นนำของโลกทั้งนั้น

 

 

ซึ่งทั้งหมดนั้นสามารถอธิบายผ่านคำพูดของ แฟรงค์ แลมพาร์ด อดีตนักเตะเชลซีภายใต้การคุมทีมของมูรินโญได้เผยถึงช่วงเวลาของเขากับมูรินโญว่า

 

“เราทุกคนอยู่ภายใต้ระเบียบของเขา นั่นคือเหตุผลว่าทำไมเราถึงได้ทำผลงานได้ดีในช่วงแรกที่เขาเข้ามาคุมทีม เราทุกคนอายุ 24-25 ปี และไม่เคยชนะอะไรมาก่อน จนกระทั่งมูรินโญเข้ามาและบอกว่าตอนนี้เราจะเป็นผู้ชนะ เราก็ตัดสินใจตามเขาไป”

 

แต่มาถึงวันนี้หากมองไปที่นักเตะแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ก็คงมีเพียง อันเดร์ เอร์เรรา และเจสซี ลินการ์ด เท่านั้นที่อาจจะมีแง่คิดที่คล้ายกับแลมพาร์ดในปี 2005 และไม่ต้องพูดถึงนักเตะอย่าง พอล ป็อกบา ที่มีประสบการณ์แชมป์โลก และความสำเร็จกับยูเวนตุสมาแล้ว ว่าจะมีแง่คิดอย่างไรกับกุนซือที่กล่าวกดดันเขาในช่วงเวลาวันหยุดพักผ่อนหลังภารกิจฟุตบอลโลก

 

หากมูรินโญมองเพียงแค่ ‘คำสาป’ เขาก็อาจจะปลดคำสาปด้วยการยุติการคุมทีมเพียงฤดูกาลที่ 2 แต่หากมองที่พฤติกรรมของมูรินโญเองก็ได้คำตอบทันทีว่า คำสาปที่แท้จริงมาจากตัวเขาเอง

 

ความสำเร็จที่ทำให้มูรินโญมีความมั่นใจในศักยภาพของตัวเขาเหนือทุกอย่าง แต่ลืมไปว่าการสร้างความสำเร็จนั้นไม่ได้เกิดจากตัว The Special One เพียงหนึ่งเดียว แต่มันเกิดจากทีมแพทย์อย่าง เอวา ผู้บริหารทีมที่ให้โอกาสเขาครั้งแรกในเกาะอังกฤษอย่าง โรมัน และนักเตะทุกคนที่ต่อสู้เพื่อความสำเร็จของทีมจนสร้างชื่อเสียงให้กับเขาทุกวันนี้

 

มูรินโญแทบไม่มีความผูกพันที่ดีกับสโมสรที่เขาเคยร่วมงาน โดยจากประวัติศาสตร์จะเห็นได้ว่า เขาจะสร้างความสำเร็จก่อนที่ความมั่นใจจะหันกลับมาเล่นงานเขาเอง จนฤดูกาลที่ 3 ผ่านไป เขาก็จะต้องออกเดินทางไปไล่ล่าความสำเร็จในที่แห่งใหม่ ไม่ว่าเขาจะต้องการมันหรือไม่ก็ตาม ซึ่งหากจะมีใครจะปลดคำสาปนี้ได้ ก็มีสิ่งเดียวที่สามารถทำลายล้างทุกคำสาป ด้วยการเปลี่ยนแปลงสิ่งที่เรียกว่า ‘ทัศนคติ’

 

 

Photo: AFP

อ้างอิง:

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising