×

Exclusive: หุ้นกลุ่มเจมาร์ทอาจเผชิญแรงขายอีกระลอก โบรกคาด กองทุนขายปรับพอร์ต ‘JMART-JMT’ รวม 1 พันล้านบาท วันพรุ่งนี้!

29.06.2023
  • LOADING...
หุ้น JMART

นับแต่ต้นปีที่ผ่านมา หุ้นในกลุ่มเจมาร์ท ได้แก่ บมจ.เจมาร์ท กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ (JMART), บมจ.เจ เอ็ม ที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส (JMT), บมจ.ซิงเกอร์ประเทศไทย (SINGER), บมจ.เจเอเอส แอสเซ็ท (J) และ บมจ.เอสจี แคปปิตอล (SGC) ต่างถูกเทขายออกมาอย่างหนัก ส่งผลให้ราคาหุ้นแต่ละตัวติดลบไปประมาณ 38-70%

 

บริษัทอย่าง JMART ที่ครั้งหนึ่งเคยมีมูลค่าสูงเกือบ 1 แสนล้านบาท ปัจจุบันมีมูลค่าเหลือเพียงประมาณ 2 หมื่นล้านบาท ส่วน JMT จากที่เคยพุ่งขึ้นถึงระดับ 1.28 แสนล้านบาท ปัจจุบันก็เหลือเพียงประมาณ 5 หมื่นล้านบาท

 

มูลค่าที่ดิ่งลงอย่างหนักทำให้ทั้ง JMART และ JMT จะหลุดจากการคำนวณในดัชนี SET50 สำหรับรอบ 1 กรกฎาคม – 31 ธันวาคม 2566

 

ภาดล วรรณรัตน์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) กล่าวว่า ในวันพรุ่งนี้ (30 มิถุนายน) น่าจะมีแรงขายหุ้น JMART และ JMT ออกมาราว 400 ล้านบาท และ 600 ล้านบาท ตามลำดับ จากบรรดากองทุน Passive Fund เพื่อปรับพอร์ตลงทุนให้ล้อไปกับดัชนี SET50

 

“ส่วนกองทุน Active Fund อื่นๆ น่าจะชิงขายมาก่อนหน้านี้แล้ว ทำให้เราเห็นราคาหุ้นกลุ่มเจมาร์ทยังคงไหลลงต่อเนื่อง แต่หลังจากที่มีแรงขายออกมาในวันพรุ่งนี้ ก็อาจจะเป็นจังหวะที่นักลงทุนบางส่วนใช้เป็นโอกาสในการเข้าซื้อ”

 

แรงกดดันต่อหุ้นกลุ่มเจมาร์ทเริ่มมาตั้งแต่ช่วงต้นปีที่ผ่านมา จนนำไปสู่เหตุการณ์ที่เรียกว่า Corner แตก หรือการที่หุ้นซึ่งเคยเป็นที่ชื่นชอบของนักลงทุนและถูกกวาดซื้อเอาไว้จนราคาพุ่งขึ้นไปเกินกว่าพื้นฐาน แต่เมื่อถึงจุดหนึ่งที่ปัจจัยพื้นฐานไม่ได้สนับสนุนราคาที่พุ่งขึ้นไปสูง ก็ทำให้นักลงทุนที่ถือหุ้นอยู่เปลี่ยนใจเทขายออกมาตามๆ กัน

 

ภาดลกล่าวต่อว่า อีกหนึ่งปัจจัยกดดันต่อราคาหุ้นกลุ่มเจมาร์ทคือผลประกอบการของบริษัทในเครืออย่าง SINGER และ SGC ที่ย่ำแย่อย่างมากในไตรมาสแรกที่ผ่านมา และมีแนวโน้มที่จะย่ำแย่ต่อเนื่องในไตรมาสสองนี้ ในขณะที่ JMART ซึ่งรับรู้ผลประกอบการของทั้งสองบริษัทในงบการเงินก็ได้รับผลกระทบไปด้วย

 

นอกจากนี้หุ้นกลุ่มเจมาร์ทเป็นหนึ่งในกลุ่มยอดนิยม ซึ่งนักลงทุนที่ลงทุนใน JMART ก็มักจะลงทุนตัวอื่นๆ ในกลุ่มด้วย เมื่อมีแรงขายเกิดขึ้นจึงเกิดเป็นการขายเชื่อมโยงกันไปหมด

 

“ส่วนตัวมองว่าหากราคาหุ้นกลุ่มเจมาร์ทจะฟื้นตัวได้นั้นจะต้องเห็นก่อนว่าผลประกอบการของ SINGER และ SGC ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว เช่น มีการตั้งสำรองเป็นจำนวนมากแบบอนุรักษนิยมในไตรมาสสองนี้ ทำให้คนเห็นว่ากำไรจะไม่แย่ไปกว่านี้อีกแล้ว”

 

ทั้งนี้ ในส่วนของ JMT ซึ่งเป็นธุรกิจที่ทำกำไรให้กลุ่มเจมาร์ทได้มากที่สุดในปัจจุบันก็มีแรงกดดันจากต้นทุนทางการเงินที่สูงขึ้นจากอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น รวมถึงต้นทุนในการประมูลหนี้ที่เพิ่มสูงขึ้นภายในอุตสาหกรรม

 

ขณะที่ บล.เคจีไอ มีมุมมองต่อหุ้น JMART ว่าโมเดลการผนึกพันธมิตรเพื่อสร้างการเติบโตแบบก้าวกระโดด ผ่านการซื้อหุ้นบางส่วนในบริษัทเป้าหมายหลายๆ แห่งที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ กำลังส่งผลกระทบอย่างต่อเนื่องต่อผลประกอบการของบริษัท เพราะภาวะตลาดทุนที่เป็นลบ และผลขาดทุนอย่างหนักของบริษัทในเครือบางแห่งทำให้หลายๆ ธุรกิจในเครือต้องสะดุด และต้องใช้เวลานานในการแก้ไข ดังนั้นเราจึงปรับลดประมาณการกำไรปี 2566 และปี 2567 ลง 42% และ 20% ตามลำดับ พร้อมปรับลดราคาเป้าหมายปี 2566 เหลือ 22 บาท จากเดิม 34 บาท

 

เรายังไม่เห็นสัญญาณการฟื้นตัวผลประกอบการของ JMART ว่าจะพลิกฟื้นได้มากนัก หลังจากที่บริษัทมีผลขาดทุนในไตรมาสแรกจากส่วนแบ่งผลขาดทุนสุทธิจาก SINGER 218 ล้านบาท และผลจากทุนการบันทึกตามราคาตลาด (MTM) จากการลงทุนใน BRR และ SGC รวมกันประมาณ 440 ล้านบาท ทั้งนี้ เนื่องจากราคาหุ้น SGC ยังตกหนักต่อเนื่องจากไตรมาสแรก ส่วนราคาหุ้น BRR ทรงตัว จึงคาดว่า JMART จะต้องบันทึกผลขาดทุน MTM จากการลงทุนอีก 120-130 ล้านบาท ในไตรมาสสองจาก SGC

 

อย่างไรก็ดี จากประมาณการกำไรของ JMT ในปี 2566 และปี 2567 ที่คาดว่าจะเติบโต 28% และ 25% ตามลำดับ เราคาดว่า JMT จะส่งผ่านกำไรมาที่ JMART ประมาณ 1.2 พันล้านบาท และ 1.5 พันล้านบาท ตามลำดับ จะช่วยชดเชยผลขาดทุน MTM ได้

 

ขณะเดียวกัน เรามองว่าโมเมนตัมการเติบโตของกำไร J-Mobile จะชะลอตัวลงหลังจากที่ไม่สามารถเพิ่มรายได้จากการขายผ่านช่องทางของ SINGER ได้ เราคาดว่ากำไรของ J-Mobile ซึ่งมีสัดส่วนถือหุ้น 95% จะลดลงอย่างมีนัยสำคัญเหลือ 220 ล้านบาท และ 253 ล้านบาท ในปี 2566 และปี 2567 เทียบกับ 360 ล้านบาท ในปี 2565

 

นอกจากนี้คาดว่าส่วนแบ่งกำไรจาก BNN Restaurant (สุกี้ตี๋น้อย) จะเพิ่มขึ้นเป็น 218 ล้านบาท และ 253 ล้านบาท ในปี 2566 และปี 2567 หลังจากรับรู้มา 19 ล้านบาท จากการเข้าลงทุนเมื่อปลายปี 2565

 

ปัจจุบันหุ้นอื่นๆ ที่ JMART เข้าไปลงทุน ได้แก่ PRTR (15%), TURTLE (9.82%), BRR (9.49%) และ BKD (9.29%)

 

จุดต่ำสุดของหุ้นกลุ่ม JMART จะอยู่ตรงไหน คงเป็นเรื่องที่ยากจะคาดเดา แต่ในมุมของบริษัทดูเหมือนว่าจะพยายามเรียกความเชื่อมั่นของนักลงทุนกลับมา โดยล่าสุดบริษัทได้อนุมัติขยายเวลาโครงการซื้อหุ้นคืน (Treasury Stock) จากเดิมที่สิ้นสุด 15 มิถุนายนที่ผ่านมา ขยายออกไปถึง 31 สิงหาคม 2566 โดยกำหนดจะซื้อหุ้นคืนไม่เกิน 16 ล้านหุ้น คิดเป็น 1.1% ของหุ้นทั้งหมด ด้วยวงเงินสูงสุดไม่เกิน 400 ล้านบาท

 

ล่าสุดบริษัทซื้อหุ้นคืนไปแล้วทั้งสิ้น 7,739,300 หุ้น ที่ราคาเฉลี่ย 16.66 บาท คิดเป็นมูลค่ารวม 128.97 ล้านบาท

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising