พีท หลานชายคนโตแห่งตระกูลจิระอนันต์ ตัวกลางสำคัญที่พยายามสืบค้นความจริงทุกอย่างในละคร เลือดข้นคนจาง คือบทบาทล่าสุดเพื่อพิสูจน์ตัวเองในฐานะนักแสดงของ เจเจ-กฤษณภูมิ พิบูลสงคราม
หากพีทคือตัวละครที่ค่อยๆ รับรู้ว่า ‘ความจริง’ นั้นอาจไม่ใช่เรื่องเดียวกับสิ่งที่เขาเคยคิด ชีวิตจริงของเจเจก็เคยผ่านจุดที่ต้องทำความเข้าใจกับความจริงของโลกใบนี้ใหม่เช่นเดียวกัน นับตั้งแต่วันแรกที่เขาตัดสินใจบินตรงจากเชียงใหม่เพื่อมาทำงานในวงการบันเทิงที่กรุงเทพมหานคร
ถึงแม้จะมีหลายเรื่องที่ทำให้เขารู้สึกผิดแปลกไปจากที่เคยเป็น แต่เจเจก็ยังยินดีที่จะพิสูจน์ตัวเองในวงการบันเทิงต่อไป เขายอมเหนื่อยเพื่อที่จะได้ชื่นชมกับความรู้สึกดีๆ เมื่อเห็นพัฒนาการที่ดีขึ้นของตัวเอง โดยเฉพาะโอกาสครั้งสำคัญในโปรเจกต์ 9×9 ของค่าย 4NOLOGUE ที่ทำให้เห็นตัวเองพัฒนาขึ้นไปไกลมากกว่าที่เคยเป็นมา
ในมุมมองของเจเจ ตัวละคร ‘พีท’ เป็นคนแบบไหน
เป็นเด็กที่บ้านรวยมากๆ แต่ไม่ใช่ประเภทที่เอาแต่ใจโน่นนี่นั่น เพราะป๊ากับม้าดูแลเขามาดีมาก ทำให้พีทเป็นคนวางตัวดี เรียบร้อย จิตใจดี ค่อนข้างเห็นอกเห็นใจคนอื่น และมีนิสัยอีกหนึ่งอย่างคือเมื่อมีเรื่องอะไรที่อยากรู้ เขาจะทำทุกวิธีเพื่อให้ได้รู้สิ่งนั้น
อย่างเช่นพอเกิดเรื่องฆาตกรรมในครอบครัวแล้วต้องการรู้ว่าความจริงคืออะไรกันแน่ พีทก็พยายามทำทุกอย่างเพื่อตามหาความจริง แต่เขาไม่เจอคำตอบที่ต้องการ แต่ดันไปเจอสิ่งที่เหนือความคาดหมายของเขาไปมาก และทำให้เรารู้ว่าทุกสิ่งที่เขาได้รับมาตั้งแต่เด็ก ทุกสิ่งที่เขาคิด ไม่ใช่ความจริงมาตั้งแต่แรกแล้ว
ในชีวิตจริงมีสถานการณ์แบบไหนที่ทำให้เจเจรู้สึกว่าสิ่งที่เราเคยคิด เคยมั่นใจ แต่ในความเป็นจริงกลับไม่ใช่แบบนั้นบ้างไหม
เรื่องการไว้เนื้อเชื่อใจคนมั้งครับ เพราะผมเกิดและโตที่เชียงใหม่ ตอนอยู่ที่นั่นใสมากเลยนะ ไม่ใช่ว่าเป็นเด็กดี เพราะผมก็ไปเที่ยว ไปกินเหล้ากับเพื่อนทั่วไป แต่ค่อนข้างซื่อ เหมือนเราอยู่ในโลกเล็กๆ มาตลอดแล้วคิดว่าเราคุยกับใครก็ได้ เชื่อใจใครก็ได้ ทุกคนบนโลกต้องเป็นเหมือนที่เราและเพื่อนเราเป็น
แต่พอผมอายุ 16 ปี ต้องมาทำงานที่กรุงเทพฯ ก็เริ่มคิดว่า เฮ้ย ทุกอย่างมันอาจจะไม่ได้เป็นแบบที่เราคิด จากเดิมที่เราเคยเข้าหาใครก็ได้ กลายเป็นว่าเราต้องคิดถี่ถ้วนมากกว่าที่จะทำความรู้จักกับใครสักคนหนึ่ง แล้วยิ่งโตขึ้น อยู่ในสังคมนี้ไปเรื่อยๆ ก็ยิ่งได้เห็นคน ได้เห็นสังคมที่กว้างขึ้น ได้เห็นวิธีการรับมือกับสถานการณ์ต่างๆ ที่หลากหลายมากขึ้นเรื่อยๆ
แต่ไม่ได้หมายความว่าทุกอย่างมันจะแย่ไปทั้งหมดนะครับ พูดแบบนี้อาจจะมองโลกในแง่ร้ายไปหน่อย ส่วนหนึ่งมันเป็นเพราะสังคมที่ผมเติบโตมามันเล็กมากๆ ด้วย วันๆ เราใช้ชีวิตอยู่กับคนในครอบครัว อยู่กับเพื่อน แต่พอเข้ามาทำงานในกรุงเทพฯ ได้อยู่ในวงการบันเทิง ก็ได้เห็นโลกที่กว้างขึ้น เฉพาะแค่ในวงการบันเทิงก็ไม่ได้มีแค่นักแสดง แล้วนักแสดงทุกคนก็ไม่ใช่เพื่อนเราทั้งหมด มันเลยกลายเป็นความกลัว ความไม่ไว้ใจ และสร้างกำแพงบางอย่างขึ้นมาโดยอัตโนมัติ
พอมาอยู่กรุงเทพฯ ยังดื่มสังสรรค์เฮฮากับเพื่อนๆ ได้เหมือนเมื่อก่อนหรือเปล่า
เหมือนเดิมครับ แต่ที่เชียงใหม่จะรู้สึกสบายมากกว่า เพราะอย่างที่บอกว่ารอบตัวมีแต่คนรู้จัก พอมาอยู่ที่นี่ก็มีคนรู้จักเหมือนกัน แต่ไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะอะไรที่ทำให้รู้สึกว่าอยู่ที่โน่นเราไม่จำเป็นต้องแคร์อะไรมาก เราอยากทำอะไรก็ทำได้ แต่พอมาอยู่ที่นี่ นอกจากเรื่องคนอื่นมันยังมีเรื่องระเบียบวินัย การวางตัว ความรับผิดชอบในหน้าที่การงานและในฐานะนักแสดงมากขึ้น ทำให้เราไม่สามารถเต็มที่เหมือนเมื่อก่อนได้เท่าไร
เพราะฉะนั้นถ้ามีเวลาว่างผมจะพยายามกลับไปเชียงใหม่ให้ได้ ผมเข้าใจที่เขาพูดกันเลยนะว่าการมีบ้านนอกให้กลับนี่มันก็ดีเหมือนกัน เมื่อก่อนไม่เคยรู้สึก แต่ตอนนี้มันเป็นแบบนั้นเลย เวลามีเรื่องไม่สบายใจหรือเหนื่อยกับงาน ผมสามารถทิ้งทุกอย่างไว้ที่นี่แล้วกลับเชียงใหม่สักพัก เหมือนเป็นการชาร์จแบตที่พลังในการใช้ชีวิตจะฟื้นขึ้นมาเสมอ
อีกอย่างคือก่อนหน้าที่จะเข้ามาทำงานในกรุงเทพฯ ผมก็เป็นเด็กทั่วไป ติดเพื่อน ไม่ค่อยสนใจครอบครัวเท่าไร ยิ่งอยู่ใกล้เรายิ่งเอาตัวออกห่าง แต่พอออกมาอยู่ไกลๆ นานๆ เท่านั้นแหละ รู้เรื่องเลยครับ (หัวเราะ) มันรู้สึกแย่เหมือนกันนะ เคยคิดแบบนั้น ตอนนี้กลายเป็นว่าพอเราอยู่ไกลพวกเขาจริงๆ เรายิ่งขวนขวายที่จะกลับไปใช้เวลากับพวกเขาให้มากที่สุด แต่ช่วงหลังๆ ที่งานเยอะมาก โดยเฉพาะโปรเจกต์ 9×9 ที่ต้องซ้อมหนักมาก ก็ยิ่งทำให้เรายิ่งคิดถึงช่วงเวลาตรงนั้นมากขึ้นไปอีก
พูดตรงๆ นอกจากภาพการเป็นนักแสดง เราคิดภาพเจเจกับการร้องเพลงหรือการเต้นไม่ค่อยออกเหมือนกันนะ
เรื่องเต้นนี่ผมก็นึกภาพตัวเองไม่ค่อยออกเหมือนกัน (หัวเราะ) ถ้าร้องเพลงนี่ได้อยู่ครับ ผมชอบร้องเพลง ชอบฟังเพลงอยู่แล้ว โดยเฉพาะการฟังเพลงและการร้องเพลงตอนอาบน้ำที่ติดมาก เรียกว่าตั้งแต่มีโทรศัพท์มือถือก็กลายเป็นต้องฟังและร้องเพลงในห้องน้ำมาตลอด แต่ไม่เคยมีโอกาสเอามาพัฒนาจริงจัง จนตอนขึ้นคอนเสิร์ต GTH Star Theque เมื่อ 2 ปีที่แล้วที่รู้สึกว่า เฮ้ย เราชอบความรู้สึกตอนขึ้นไปยืนร้องเพลงอยู่บนเวทีแบบนั้นแล้วมีคนตั้งใจฟังเราเต็มไปหมด
พอได้ไปออดิชันโปรเจกต์ 9×9 แล้วได้ฝึกเป็นจริงเป็นจังครั้งแรกก็ยิ่งชอบเข้าไปอีก มันตอกย้ำว่า การร้องเพลงเป็นสิ่งที่ทำให้เรามีความสุขจริงๆ แล้วยิ่งได้เห็นพัฒนาการของตัวเองที่ดีขึ้นเรื่อยๆ จากที่เคยไม่เอาไหนมาก่อนก็เริ่มสนุก ยิ่งชอบเวลาได้ทำ ตอนนี้คิดเหมือนกันนะว่าระดับความชอบการร้องเพลงพุ่งขึ้นมาอยู่ในระดับใกล้เคียงกับการแสดงมากเลย
การเต้นที่บอกว่านึกภาพตัวเองไม่ออกเหมือนกันล่ะ เป็นอย่างไรบ้าง
ถ้าพูดเรื่องพื้นฐานที่จริงจังก็คือติดลบหรือเป็นศูนย์ไปเลย แต่ถ้าโปรเจกต์ 9×9 จะทำให้ผมมีโอกาสได้เป็นศิลปิน ได้ร้องเพลงในแบบที่ผมชอบ แล้วศิลปินคนนั้นมีความสามารถด้านการเต้นด้วย ผมก็พร้อมที่จะเรียนรู้ และเห็นว่าเป็นโอกาสที่ดีที่เราจะได้ฝึกในสิ่งที่เคยทำ
ซึ่งตอนแรกๆ ก็ทำไม่ได้เลยนะครับ ทั้งจากการที่เราเต้นไม่เป็น เราเขิน แล้วต้องมาอยู่ในกลุ่มที่บางคนเขามีพื้นฐานเรื่องการเต้นอยู่แล้วก็ยิ่งทำลายความมั่นใจ แต่พอฝึกไปเรื่อยๆ ได้เห็นพัฒนาการของตัวเอง แล้วอย่างที่บอกไปว่ามันทำให้เรารู้สึกดีกับตัวเองมากขึ้น แล้วก็พยายามฝึกมาตลอดเพื่อให้เราดีใจกับพัฒนาการของตัวเองได้ต่อไป
ผ่านไปเกือบ 2 ปีกับโปรเจกต์ 9×9 คิดว่าพัฒนาการด้านไหนที่ทำให้เจเจชอบตัวเองได้มากที่สุด
การเต้นนี่แหละครับ เพราะก่อนหน้านี้มันแย่มากจริงๆ นะครับ (หัวเราะ) เต็มที่ก็แค่โยกหัวตามจังหวะเพลงเวลาอยู่ในร้านเหล้าเฉยๆ แต่ตอนนี้ถือว่าพัฒนาจากจุดนั้นมาไกลเหมือนกัน แล้วผมก็พยายามอย่างหนักเพื่อที่จะยืนอยู่ในโปรเจกต์นี้ให้ได้ เรื่องซ้อมหนักอันนี้ปกติอยู่แล้ว นอกจากนั้นผมก็จะไปดูคลิปศิลปินฮิปฮอปพวก Drake หรือ The Weeknd เมื่อก่อนอาจจะดูผ่านๆ ดูเพราะชอบ แต่ตอนนี้คือไปศึกษาการเคลื่อนไหว การเพอร์ฟอร์มของเขาแบบจริงจังเลย
ลำดับต่อไปอยากพัฒนาตัวเองในเรื่องไหนให้ได้มากที่สุด
อันนี้แปลกมากเหมือนกันนะครับ เมื่อก่อนตอนเข้ามาทำงานแสดงใหม่ๆ สิ่งที่ทำก็คือผมออกไปแสดงในแบบที่ผมคิดว่าสามารถทำได้ ปัญหาที่เกิดขึ้นก็คือรู้สึกว่าตัวเองคิดน้อยไปและยังทำได้ไม่ดี จนพอทำงานมากขึ้น เจอบทบาทที่ท้าทายมากขึ้น เจอความคาดหวังจากทั้งคนอื่นๆ และตัวเอง เลยกลายเป็นว่าผมพยายามคิดทุกอย่างมากเกินไป
เวลาจะทำหรือแสดงอะไรก็คิดมากไปหมด กลัวว่ามันจะออกมาดีหรือเปล่า ซึ่งถ้าคิดบนพื้นฐานที่เหมาะสมมันจะดีมากนะครับ แต่บางทีผมคิดมากเกินไปและควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้ พอคิดหนักเข้า มันเลยกลายเป็นว่าสิ่งที่แสดงออกมามันถูกคิดเอาไว้ทุกอย่างว่าจะต้องดีจนบางครั้งมันไม่เป็นธรรมชาติ ไม่เหมือนตอนเด็กๆ ที่บางทีไม่รู้เรื่อง เราก็ใช้สัญชาตญาณเป็นตัวนำบ้าง ใช้ความสดใหม่ ใช้ธรรมชาติของเราจริงๆ เพราะฉะนั้นถ้ามีเรื่องไหนที่ต้องพัฒนา ผมก็อยากหาบาลานซ์ระหว่างการทำงานให้ได้มากกว่านี้
จากที่เจเจบอกว่าสนิทกับเพื่อนที่เชียงใหม่มากๆ และสามารถทำทุกอย่างได้แบบเต็มที่จริงๆ แต่เมื่อต้องมาทำงานตรงนี้ เพื่อนๆ ในโปรเจกต์ 9×9 ที่ต้องใช้ชีวิตร่วมกันเกือบ 2 ปีสามารถเข้ามาทดแทนความรู้สึกตรงนี้ได้มากขนาดไหน
โห ใกล้ๆ กันเลยนะ แต่มันไม่ใช่ความรู้สึกว่ากลุ่มไหนต้องมาทดแทนกลุ่มไหน ทั้งสองกลุ่มสำคัญเหมือนกัน เพียงแค่เรามาอยู่กันด้วยบริบทและสถานะที่ต่างกัน ถ้ามองผ่านๆ เพื่อนๆ น้องๆ ในโปรเจกต์ 9×9 เราอาจจะมีสถานะเหมือนเพื่อนร่วมงานที่ผมน่าจะมีกำแพงมากกว่านี้ แต่โชคดีที่พออยู่ด้วยกันไปเรื่อยๆ ได้เรียนรู้ซึ่งกันและกัน ได้เห็นลักษณะนิสัย ความชอบของแต่ละคน แล้วพอทุกคนมารวมตัวกันด้วยแพสชันที่จะพัฒนาตัวเองให้ดีที่สุดเหมือนกัน มันเลยกลายเป็นว่าจากเพื่อนร่วมงานที่อยู่ด้วยกันไม่นานก็กลายเป็นกลุ่มเพื่อนที่สนิทกันมากๆ ขึ้นมาได้จริงๆ แล้วผมก็ไม่ต้องคิดมากเวลาที่จะต้องเข้าหาใครสักคนในกลุ่มนี้ เราสามารถเป็นตัวเองได้จริงๆ ไม่ต่างอะไรจากเวลาเป็นตัวเองเมื่ออยู่ในกลุ่มเพื่อนๆ ที่เติบโตมาด้วยกันที่เชียงใหม่เลย
- ละครเรื่อง เลือดข้นคนจาง ออกอากาศทุกวันศุกร์ เวลา 20.45 น. และวันเสาร์ เวลา 20.10 น. ทางช่อง one31