ท่ามกลางวิกฤตอาชญากรรมทางเทคโนโลยีที่กัดกินสังคมไทย สร้างมูลค่าความเสียหายเฉลี่ยสูงถึงวันละ 100 ล้านบาท ‘แก๊งคอลเซ็นเตอร์’ หรือ สแกมเมอร์ ได้กลายสภาพจากปัญหาอาชญากรรมพื้นฐาน สู่ปัญหาระดับวาระแห่งชาติ ที่ท้าทายความสามารถของสำนักงานตำรวจแห่งชาติอย่างถึงที่สุด
พลตำรวจโท จิรภพ ภูริเดช ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผู้ช่วย ผบ.ตร.) แม่ทัพคนใหม่ที่ได้รับไม้ต่อจากผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ให้เข้ามาคุมบังเหียนศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ (ศปอส.ตร.) หรือ PCT แบบเต็มตัวตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคมที่ผ่านมา
สัมภาษณ์เปิดใจกับ THE STANDARD ถึงเบื้องลึกของสงครามครั้งนี้ ที่ไม่ได้มีแค่การจับกุมโจร แต่คืองานการทูต การเมืองระหว่างประเทศ และยุทธวิธีใหม่ในการดึง ‘จีน’ และชาติมหาอำนาจ เข้ามาร่วมกดดันเพื่อนบ้าน เพื่อทลายรังโจรที่ต้นตอ

วิกฤต 100 ล้านต่อวัน กับโจทย์หินฐานทัพโจรในเพื่อนบ้าน
พลตำรวจโท จิรภพ เริ่มต้นด้วยการฉายภาพสถานการณ์จริงที่น่าหนักใจ จากข้อมูลสถิติศูนย์รับแจ้งความออนไลน์ (Thai Police Online) พบว่าประเทศไทยมีคดีใหม่เกิดขึ้นเฉลี่ยวันละกว่า 1,000 เคส คิดเป็นมูลค่าความเสียหายต่อวันสูงถึง 100 ล้านบาท ตัวเลขนี้สะท้อนว่าสแกมเมอร์ไม่ใช่แค่ปัญหาของไทย แต่เป็นวิกฤตการณ์ระดับโลกที่ยังไม่มีประเทศใดแก้ได้เบ็ดเสร็จเด็ดขาด
ความท้าทายสูงสุดของภารกิจนี้ไม่ใช่ความสามารถในการสืบสวน แต่คือข้อจำกัดด้าน อธิปไตย พล.ต.ท. จิรภพ ชี้เป้าอย่างตรงไปตรงมาว่า ฐานปฏิบัติการหลักของคนร้าย (Scam Compounds) ตั้งอยู่ในประเทศเพื่อนบ้าน ทั้งเมียนมา สปป.ลาว และกัมพูชา ซึ่งมีจำนวนหลายร้อยแห่ง

“ถ้าประเทศเพื่อนบ้านร่วมมือกับเรา โจทย์นี้จะไม่ยากเลย เราสืบสวนจนรู้พิกัดตึก รู้คอมปาวด์ที่ใช้หลอกคนไทยชัดเจน แต่ปัญหาคือเมื่อเราประสานไป เขาไม่ตอบสนอง การที่เขาไม่จับกุมตามที่เราชี้เป้า ทำให้เราไม่สามารถตัดต้นตอของปัญหาได้ นี่คือความยากที่สุดของงานนี้”
เมื่อไม่สามารถบุกโจมตีที่รังได้โดยตรง ยุทธวิธีในช่วงแรกจึงเป็นลักษณะเกมรับ (Defensive) คือการตั้งด่านสกัดในประเทศไทย ทั้งการไล่จับบัญชีม้า ตัดวงจรสัญญาณอินเทอร์เน็ตข้ามแดน และการสกัดกั้นกลุ่มทุนจีนสีเทาที่เข้ามาฟอกเงิน ซึ่ง พล.ต.ท. จิรภพ ยอมรับว่า แม้จะทำเต็มที่แต่ก็ได้ผลลัพธ์ในระดับหนึ่ง เพราะไม่ใช่การแก้ที่ต้นเหตุ
ยุทธการดึง ‘จีน’ เป็นหัวหอกตั้ง Special Task Force

เมื่อการเจรจาแบบทวิภาคีกับประเทศเพื่อนบ้านไม่เป็นผล พล.ต.ท. จิรภพ จึงปรับเปลี่ยนยุทธวิธีใหม่ โดยมุ่งเป้าไปที่การดึงชาติมหาอำนาจ เข้ามาเป็นตัวแปรสำคัญ
พล.ต.ท. จิรภพ เปิดเผยถึงเบื้องหลังการเดินทางไปประชุมร่วมกับทางการจีน ซึ่งมี 6 ประเทศเข้าร่วม (จีน, ไทย, กัมพูชา, สปป.ลาว, เวียดนาม เมียนมา) โดยนำเสนอโมเดลการปราบปรามเชิงรุกแบบ Aggressive Play ต่อ หลิวจงอี้ (Liu Zhongyi) ผู้ช่วยรัฐมนตรีของจีนที่ดูแลงานปราบปรามสแกมเมอร์
ข้อเสนอสำคัญคือการตั้ง Special Task Force (กองกำลังเฉพาะกิจร่วม) ของ 6 ประเทศ โดยมีเงื่อนไขว่า หากจะมีการเข้าตรวจค้นจุดใด ให้เจ้าหน้าที่ของทั้ง 6 ประเทศเดินทางไปด้วยกัน เพื่อความโปร่งใสและกดดันให้เกิดการปฏิบัติจริง
“ผมบอกทางจีนว่า ประเทศไทยยินดีเปิดประตูบ้านให้เข้ามาตรวจสอบได้เลย ถ้ามีเบาะแสว่ามีศูนย์สแกมเมอร์ในไทย เราพร้อมให้เข้ามาดูด้วยกัน แต่ในทางกลับกัน ผมขอให้จีนเป็นผู้นำในการพาเราเข้าไปตรวจสอบคอมปาวด์ในประเทศอื่นๆ ด้วย ให้ทุกประเทศแฟร์ๆ เปิดบ้านเหมือนกัน”

โมเดลนี้คือการใช้อิทธิพลของจีน และชาติมหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกา (ผ่านหน่วยงาน Strike Force และ FBI ที่ไทยมีความร่วมมือแน่นแฟ้น) มาเป็นเครื่องมือในการกดดัน (Leverage) ทางการทูต เพราะเสียงของไทยเพียงลำพังอาจไม่ดังพอให้เพื่อนบ้านขยับตัว แต่หากเป็นเสียงจากปักกิ่งหรือวอชิงตัน ย่อมสร้างแรงกระเพื่อมที่ต่างกัน
ปัจจุบันไทยใช้วิธีส่งข้อมูลพิกัดเป้าหมายผ่านไปยังศูนย์ปฏิบัติการของจีน เพื่อให้จีนช่วยประสานงานกดดันอีกทางหนึ่ง ซึ่งถือเป็นไม้ตายใหม่ที่กำลังถูกนำมาใช้แก้เกมในขณะนี้
ไม่ใช่เรื่อง AI แต่คือจิตวิทยา ‘ความโลภ-ความกลัว’

ท่ามกลางกระแสข่าวเรื่องเทคโนโลยี Deepfake หรือ AI ดูดเงิน พล.ต.ท. จิรภพ ยืนยันจากข้อมูลสถิติว่า รูปแบบการหลอกลวงในไทยที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงเช่นนั้นมีสัดส่วนน้อยมาก (ต่ำกว่า 1%)
“สแกมเมอร์ในไทยยังคงใช้มุกเดิม คือ Storytelling หรือการสร้างเรื่องราวหลอกลวง โดยเล่นกับจุดอ่อนของมนุษย์ 3 ข้อหลัก คือ ความโลภ (หลอกลงทุน), ความกลัว (ข่มขู่ทางกฎหมาย), และความรัก (Hybrid Scam)”
เหตุผลที่คนไทยยังตกเป็นเหยื่อ ไม่ใช่เพราะเทคโนโลยีล้ำสมัย แต่เพราะคนร้ายใช้หลักการ Numbers Game คือการหว่านแหโทรหาเหยื่อวันละ 100 คน ขอเพียงมีคนหลงเชื่อแค่ 3-4 คน (เข้าวิน) ก็คุ้มค่าแล้ว จากนั้นจึงใช้วิธีการทางจิตวิทยาในการดูดทรัพย์สินจนหมดตัว

สำหรับมาตรการป้องกัน พล.ต.ท. จิรภพ เตรียมเปิดตัวเว็บไซต์และเพจที่รวบรวมกลโกง Top Hit อัปเดตแบบเรียลไทม์ เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันให้ประชาชนรู้เท่าทันมุกใหม่ๆ ของมิจฉาชีพ พร้อมฝากคาถาสั้นๆ ว่า
“อย่าเชื่อของดีเกินจริง อย่ากลัวคำขู่ และถ้าข้องใจให้ขอเจอตัวจริงที่โรงพัก”
ไม่เว้น ‘คนมีสี’ และมิติใหม่ของความสามัคคี
อีกหนึ่งประเด็นที่สังคมกังขา คือการมีส่วนร่วมของเจ้าหน้าที่รัฐหรือผู้มีอิทธิพลในขบวนการนี้ พล.ต.ท. จิรภพ ประกาศชัดเจนว่า “ไม่ว่าจะเป็นใคร นักการเมือง ทหาร หรือตำรวจ ถ้าเจอหลักฐาน ผมจับหมดไม่มีละเว้น” ซึ่งที่ผ่านมามีการจับกุมข้าราชการตำรวจที่เกี่ยวข้องไปแล้ว และกำลังขยายผลเพิ่มเติม
นอกจากนี้ สิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างเห็นได้ชัดในยุคนี้ คือวัฒนธรรมการทำงานภายในองค์กรตำรวจ พล.ต.ท. จิรภพ ระบุว่า นี่คือนิมิตหมายใหม่ของการทำงานร่วมกันระหว่าง ตำรวจส่วนกลาง และตำรวจภูธรในพื้นที่

“อดีตอาจมีการแย่งผลงานกัน แต่ตอนนี้เราทำงานเป็นทีม ส่วนกลางวิเคราะห์ข้อมูลชี้เป้า ส่งต่อให้พื้นที่เข้าจับกุมทันที พื้นที่ก็ตอบรับรวดเร็ว ไม่มีการแบ่งเขาแบ่งเรา เพราะทุกคนตระหนักดีว่าลำพังหน่วยงานเดียวเอาไม่อยู่ ต้องช่วยกันทุกองคาพยพ”
1 เดือนครึ่งกับความคืบหน้า และเป้าหมายที่ต้องไปต่อ
จากการเข้ามารับหน้าที่เพียง 1 เดือนครึ่ง ตัวเลขสถิติการแจ้งความใหม่ลดลงประมาณ 10% ขณะที่ยอดการจับกุมพุ่งสูงขึ้น แม้ พล.ต.ท. จิรภพ จะให้คะแนนการทำงานตัวเองไว้ที่ 6-7 คะแนน แต่เขายืนยันว่านี่คืองานที่หินที่สุดในชีวิตข้าราชการตำรวจ เพราะศัตรูอยู่นอกประเทศและมีเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราว
“ผมไม่ท้อ และมองคำวิจารณ์เป็นเรื่องปกติ แต่ผมอยากให้ดูที่เนื้องาน เราพยายามทำทุกวิถีทาง ทั้งมิติการปราบปราม มิติการทูต และความร่วมมือกับแพลตฟอร์มระดับโลกอย่าง Meta หรือ Cloudflare เป้าหมายของเราคืออยากให้ไทยเป็นประเทศแรกๆ ของโลกที่ปราบปัญหานี้ได้สำเร็จ” พล.ต.ท. จิรภพ ทิ้งท้าย
สงครามกับสแกมเมอร์ครั้งนี้ จึงไม่ใช่แค่การสู้รบปรบมือกับโจรปลายแถว แต่คือการเดิมพันด้วยยุทธศาสตร์ความมั่นคงระหว่างประเทศ และความเชื่อมั่นของประชาชนที่มีต่อกระบวนการยุติธรรมไทย



