ชื่อของ เจฟฟรีย์ เอปสตีน ผู้ที่เสียชีวิตไปตั้งแต่ปี 2019 กลับมาเป็นที่พูดถึงในสื่ออีกครั้ง เมื่อแฟ้มคดีอาญชากรรมทางเพศต่อผู้เยาว์และการค้ามนุษย์ของเขา (Epstein’s file) กลายมาเป็นสายล่อฟ้าทางการเมืองของสหรัฐฯ ที่แสดงให้เห็นถึงรอยร้าวระหว่างโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีคนปัจจุบัน กับ สส. ในพรรครีพับลิกันของเขา
บทความนี้จะพาผู้อ่านไปรู้จักกับเอปสตีนและอาชญากรรมของเขา รวมถึงเหตุผลที่ว่าทำไมแฟ้มคดีของเอปสตีนอาจจะส่งแรงสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงไปยังทำเนียบขาว
เจฟฟรีย์ เอปสตีน คือใคร?
เอปสตีนเป็นชาวเมืองนิวยอร์กที่เกิดในครอบครัวชาวยิว มีฐานะปานกลางก่อนที่เขาจะสร้างฐานะขึ้นมาด้วยตัวยน้ำมือเขาเองผ่านธุรกิจไฟแนนซ์และการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ เอปสตีนประสบความสำเร็จอย่างมากจนมีทรัพย์สินมากถึง 600 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เขามีคฤหาสน์หรูกลางเกาะแมนฮัตตัน, ในเมืองไมอามี, เกาะส่วนตัวในทะเลแคริบเบียน, รถหรูหลายสิบคัน รวมถึงเครื่องบินเจ็ตส่วนตัว เรียกได้ว่าเอปสตีนมีทุกอย่างที่มหาเศรษฐีที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงในชีวิตพึงจะมี
ที่สำคัญเอปสตีนยังเป็นคนที่ชอบเข้าสังคม ทำให้เขามีมิตรสหายคนรู้จักผู้มีชื่อเสียงในหลายวงการมากมาย เช่น อดีตเจ้าชายแอนดรูว์ (พระราชโอรสของสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2), บิลล์ เกตต์, บิล คลินตัน อดีตประธานาธิบดีของสหรัฐฯ, รวมทั้งโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีคนปัจจุบัน ที่เคยพูดยกย่องเขาไว้ในอดีตว่า “เป็นคนมหัศจรรย์ อยู่ด้วยแล้วสนุก”
ธุรกิจค้ามนุษย์
แม้ว่าภาพในเบื้องหน้าจะดูเหมือนว่าเอปสตีนเป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงและเป็นที่นับหน้าถือตาในวงสังคม แต่ในเบื้องหลังแล้วเขาเป็นบุคคลที่น่ารังเกียจเพราะมีพฤติกรรมชอบมีเพศสัมพันธ์กับผู้เยาว์ (pedophile) และอยู่เบื้องหลังธุรกิจค้ามนุษย์
เบื้องหลังอันน่ารังเกียจของเอปสตีนถูกเปิดเผยเป็นครั้งแรกในปี 2005 เมื่อผู้ปกครองของเด็กหญิงวัย 14 ปี ได้เข้าแจ้งความกับตำรวจว่าเอปสตีนได้ล่อลวงให้เธอไปขายบริการทางเพศให้เขาในคฤหาสน์ที่เมืองปาล์มบีช รัฐฟลอริดา ในที่สุดเขาก็ถูกตัดสินว่ามีความผิดจริงในปี 2008 แต่ว่าเอปสตีนถูกตัดสินให้จำคุกเพียง 18 เดือนเท่านั้น เพราะเขาได้ประนีประนอม ให้การสารภาพกับอัยการในขั้นตอนการส่งฟ้อง (plea deal) ซึ่งเป็นที่น่าสนใจว่าอัยการในคดีนี้ ในเวลาต่อมาก็ได้ดิบได้ดีถึงขั้นได้เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานในสมัยของประธานาธิบดีทรัมป์เทอมแรก
เอปสตีนนั้นไม่เข็ดกับการถูกจับกุมในครั้งแรก เขายังคงสนุกกับการมีเพศสัมพันธ์กับเด็กสาว รวมถึงเริ่มทำตัวเป็นพ่อเล้าด้วยการส่งเด็กสาวเหล่านั้นไปให้เพื่อนและลูกค้าของเขา โดยมีคนสนิทของเขาอย่างจีเลน แม็กเวลล์เป็นคนช่วยเสาะหาเด็กสาวมาให้
เขามีพฤติกรรมเช่นนี้เป็นเวลาอีกนับสิบปี ก่อนถูกจับกุมอีกครั้งในเดือนกรกฎาคม 2019 ผ่านการแจ้งความของเหยื่อและการบุกค้นคฤหาสต์ของเขากลางเกาะแมนฮัตตัน ซึ่งพบภาพเปลือยและวิดีโอของบรรดาเหยื่อของเอปสตีนที่เขาถ่ายเก็บไว้
เขาถูกจับกุมตัวทันทีระหว่างที่รอศาลตัดสินคดี แต่เพียง 19 วันหลังจากที่เอปสตีนถูกจับกุมตัวเขาก็ได้ทำการอัตวินิบาตกรรมด้วยการแขวนคอในคุก ซึ่งก็ยังเป็นที่ถกเถียงกันว่าเป็นการอัตวินิบาตกรรมจริงหรือไม่ หรือเป็นการฆ่าปิดปากกันแน่ เพราะตอนที่เกิดเหตุกล้องวงจรปิดในคุกนั้นขัดข้องและเจ้าหน้าที่สองคนที่เฝ้าหน้าเรือนจำก็เผลอหลับพอดี
รายชื่อลูกค้าของเอปสตีน
สาเหตุที่เกิดทฤษฏีสมคบคิดว่า เอปสตีนอาจจะถูกฆ่าปิดปากมากกว่าฆ่าตัวตายเป็นเพราะเขามีลูกค้าที่เป็นนักการเมืองและผู้มีชื่อเสียงในสังคมที่กังวลว่าการถูกจับกุมของเอปสตีน อาจจะเป็นโดมิโนตัวแรกที่สุดท้ายแล้วจะลามมาเปิดโปงพวกเขาว่ามีส่วนร่วมในกระบวนการค้ามนุษย์
นอกจากนี้ ยังมีการตั้งข้อสันนิษฐานว่า FBI มีรายชื่อของลูกค้าของเอปสตีนที่ยึดมาได้จากการบุกค้นคฤหาสน์ของเขากลางมหานครนิวยอร์กในปี 2019 ดังนั้นจึงเกิดกระแสกดดันให้ FBI เปิดเผยแฟ้มคดีของเอปสตีนสู่สาธารณชน
อย่างไรก็ตามเป็นที่น่าแปลกใจว่าทรัมป์กลับมีความลังเลที่จะสั่งให้ FBI เปิดเผยแฟ้มคดีของเอปสตีน ทั้งๆ ที่ในช่วงหาเสียงเลือกตั้งเขาก็เคยให้คำมั่นว่าจะเปิดเผยแฟ้มคดีอย่างแน่นอน ในเวลาต่อมาทรัมป์ถึงกับกล่าวว่ารายชื่อลูกค้าเอปสตีนเป็นเรื่องลวงโลก (a big hoax)
การกลับคำของทรัมป์ในครั้งนี้ทำให้สส. หลายคนของพรรคไม่พอใจ เพราะมันเหมือนกับว่าทรัมป์เข้าข้างและกำลังปกป้องผู้มีอิทธิพลและมหาเศรษฐีที่มีพฤติกรรมแบบใคร่เด็ก (pedophile) และทำให้เกิดความแคลงใจว่า หรือทรัมป์เองจะเป็นหนึ่งในรายชื่อของลูกค้าเอปสตีน (ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้นจริงๆ ก็ส่งแรงสั่นสะเทือนระดับสูงที่ทำให้คะแนนนิยมของทรัมป์ตกต่ำลงไปอีก)
ในที่สุด สส. ของพรรครีพับลิกัน 4 คน อันประกอบด้วย โทมัส แมซซี, ลอเรน โบเบิร์ท, มาจอรี เทย์เลอร์ กรีน และแนนซี เมซ ก็ได้แตกแถวไปร่วมกับเดโมแครต ผ่านร่างกฎหมายที่มีชื่อว่า Epstein Files Transparency Act เพื่อบังคับให้ FBI เปิดเผยแฟ้มคดีต่อสาธารณชน (แต่ตอนที่โหวตจริงๆ สส. ของรีพับลิกันเกือบทุกคนก็ยอมโหวตให้ร่างกฏหมายนี้ เพราะคืนก่อนโหวตทรัมป์ประกาศให้ สส. ทุกคนให้โหวตรับร่างเป็นการแก้เกี้ยว เพราะเขารู้ว่าเสียงค้านนั้นถึงอย่างไรก็ไม่พอ) และเมื่อวานนี้เอง (19 พฤศจิกายน) ทรัมป์ก็ได้ลงนามรับร่างนี้และประกาศให้เป็นกฎหมายอย่างเป็นทางการ
ซึ่งการที่ สส. รีพับลิกัน 4 คนแตกแถวและทำในสิ่งที่ทรัมป์ไม่ต้องการนั้น ถือว่ามีนัยสำคัญทางการเมืองพอสมควร เพราะในยุคทรัมป์ 1.0 นั้น ไม่เคยเกิดเหตุการณ์เช่นนี้มาก่อน เหตุการณ์นี้อาจจะเป็นสัญญานแรกที่บอกว่า ทรัมป์ไม่ได้กุมอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดในพรรคได้เหมือนเคย (ซึ่งก็เป็นเหตุการณ์ที่มักจะเกิดขึ้นในการครองตำแหน่งสมัยที่สองของประธานาธิบดี เพราะ สส. รู้ว่าไม่มีสมัยที่ 3 ของเขาอีกต่อไปแล้ว)
อย่างไรก็ตาม ก็มีความเป็นไปได้สูงมากว่าทรัมป์และ FBI จะเซ็นเซอร์ข้อความบางส่วนอยู่ดี ด้วยการอ้างเหตุว่าข้อความบางอย่างอาจจะกระทบต่อรูปคดีที่ยังดำเนินการอยู่ และเพื่อปกป้องความเป็นส่วนตัวของเหยื่อบางคนที่ไม่พร้อมจะเปิดเผยเรื่องนี้ในที่สาธารณะ
ภาพ: Davidoff Studios / Getty Images


