JD Central พร้อมเปิดตัวแพลตฟอร์มกลางปีนี้ ลั่นลงทุนใน EEC ยกระดับโลจิสติกส์และใช้หุ่นยนต์ช่วยทำงาน เน้นผลักดัน SMEs เป็นหลัก
หอการค้าไทย-จีนจับมือ JD.com จัดงานสัมมนา Business Gateway to China นำธุรกิจไทยเข้าสู่ตลาดจีน โดย วินเซนต์ หยาง ซีอีโอของ JD Central บริษัทร่วมลงทุนระหว่าง JD.com อีคอมเมิร์ซยักษ์ใหญ่ของจีนกับเครือเซ็นทรัล ผู้นำตลาดค้าปลีกไทยกล่าวว่า ภายในไตรมาส 3 ของปี 2561 จะเปิดตัวแพลตฟอร์ม JD Central (JDC) เพื่อผลักดันเรื่องอีคอมเมิร์ซที่กำลังเติบโตในประเทศไทย โดย JDC จะเป็นช่องทางซื้อขายสินค้าโดยตรงจากผู้ขายในประเทศจีนกับคนไทยและผู้ที่อาศัยในเมืองไทย สินค้าส่วนใหญ่เป็นสินค้าอุปโภคบริโภคในชีวิตประจำวัน ขณะที่ JD.com จะเป็นช่องทางหลักสำหรับผู้ประกอบการไทยโดยเฉพาะ SMEs ที่จะนำสินค้าไปขายในตลาดประเทศจีน ซึ่งยอดขายของ JD.com ในปี 2017 ที่ผ่านมาสูงเกือบ 2 แสนล้านเหรียญสหรัฐ
นอกจากนี้ยังร่วมกับหอการค้าไทย-จีน จัดตั้งศูนย์ฝึกอบรมให้ความรู้ด้านอีคอมเมิร์ซสำหรับผู้ประกอบการไทยด้วย ขณะที่แผนลงทุนระยะสั้นในช่วง 3 ปีนี้ JD.com มีแผนขยายธุรกิจทั่วโลกถึง 1 แสนล้านบาท ซึ่งวินเซนต์ยืนยันว่ามีแผนลงทุนในพื้นที่ระเบียงเขตเศรษฐกิจพิเศษ หรือ EEC อย่างแน่นอน แต่ยังไม่ระบุจำนวนเม็ดเงินลงทุน อยู่ระหว่างเจรจากับทางรัฐบาลไทย รายละเอียดของการลงทุนจะเน้นด้านโลจิสติกส์ที่ทันสมัยเป็นสำคัญ ขณะเดียวกันจะนำหุ่นยนต์มาใช้งานด้วย
ซีอีโอของ JD Central กล่าวว่า วันที่ 18 พฤษภาคมนี้ JD.com จะนำสินค้าเกษตรไทยไปขาย โดยตั้งเป้ายอดขายทุเรียนถึง 5 แสนลูก และข้าวจากประเทศไทย 200 ตัน คาดว่าจะใช้เวลา 2-3 สัปดาห์ในการขายสินค้าจำนวนดังกล่าว ขณะที่ สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ให้ความเห็นว่า กรณีที่บางฝ่ายกังวลว่าคนจีนจะซื้อทุเรียนหรือสินค้าไทยอื่นๆ ไปหมดจนไม่มีบริโภคในประเทศหรือราคาสูงเกินกว่าจะซื้อนั้น ขอให้ประชาชนอย่ากังวล กรณีสินค้าคุณภาพดีราคาต้องขยับสูงขึ้นเป็นธรรมดาอยู่แล้ว แต่ก็ยังมีสินค้าเกรดอื่นๆ ให้รับประทาน ประเทศไทยเป็นเมืองเกษตร เชื่อว่าจะไม่เกิดปัญหาดังกล่าวขึ้น
ภายในงานผู้บริหารของทาง JD.com เปิดเผยรายละเอียดคลังสินค้าที่ลงทุนในประเทศไทย ซึ่งจะอยู่ในเขตปริมณฑล และจะใช้เทคโนโลยีการจัดการที่ทันสมัย ยกระดับเป็น Logistics Park บนพื้นที่ 5 พันตารางเมตร รองรับสินค้า 5 พันออร์เดอร์ต่อวัน จัดเก็บสินค้าได้สูงสุดถึง 3 แสนชิ้น
ไม่เพียงแต่ความร่วมมือกับเครือเซ็นทรัลเท่านั้น JD.com ยังอยู่ระหว่างเจรจาธุรกิจกับแบรนด์ขนาดใหญ่ของไทยในอุตสาหกรรมอื่นด้วย และหอการค้าไทย-จีนจะเป็นพันธมิตรสำคัญในการเป็นช่องทางของผู้ประกอบการที่ต้องการขยายตลาดไปในประเทศจีน รวมถึงการอบรมให้ความรู้และเตรียมความพร้อมด้วย
จึงถือเป็นการประกาศศึกชัดเจนในการเข้ามาทำธุรกิจของแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซจากจีน หลังจากที่ Alibaba โดยแจ็ค หม่า ชิงปักหมุดที่ประเทศไทยล่วงหน้าไปได้ไม่นาน
อ้างอิง:
- หอการค้าไทย-จีน
- JD Central
