ย้อนกลับไป 1 เดือนก่อนหน้า หากใครบอกว่าฟุตบอลทีมชาติไทยที่เปลี่ยนมือโค้ชจาก ‘มาโน โพลกิ้ง’ สู่ ‘มาซาทาดะ อิชิอิ’ จะเข้ารอบด้วยการเป็นอันดับ 2 ของกลุ่ม แถมยังไร้พ่าย และไม่เสียประตูให้ทีมใด
ก็ฟังดูจะเป็นเรื่อง ‘โจ๊ก’ ในวงสนทนา ชนิดที่เรียกรอยยิ้มแบบ 555 มีน้ำตาซ่อนอยู่แน่ๆ
แถมเกมอุ่นเครื่องนัดเปิดศักราชปี 2024 ยังบุกไปโดนเหล่าขุนพลซามูไรฟันสะบั้นหั่นแหลกแบบขาดลอย 0-5 ก็ยิ่งตอกย้ำและทำให้เชื่อยากว่าบอลไทยจะคืนชีพได้แบบเร็ววัน
ซ้ำร้ายก่อนเริ่มทัวร์ ทีมยังขาดผู้เล่นตัวหลักอย่าง ชนาธิป-ธีรศิลป์ ที่ถูกพรากไปด้วยอาการบาดเจ็บ รวมถึง เจ้าบุ๊ค-เอกนิษฐ์ ปัญญา ที่เลือกขอเวลาไปพิสูจน์ตัวกับอุราวะ เรด ไดมอนด์ส
นั่นทำให้ทีมชุดลุยเอเชียนคัพ 2023 ในสายตาแฟนบอลกลายเป็นทีมที่ไม่เต็มร้อย และอะไรที่มันดูไม่พร้อม ไม่สมบูรณ์ ก็ยากที่จะให้แฟนบอลเชื่อว่าทีมไทยจะไปได้ไกลในรายการนี้
แต่… แต่… แต่!!
ภายในเวลาเพียง 10 วัน ผลงานนับจากนัดดวลคีร์กีซสถานถึงซาอุดีอาระเบีย อิชิอิร่ายมนตร์คาถาบางสิ่งให้ผู้เล่นช้างศึกทั้ง 23 คนลงสนามไปวิ่งเล่นประหนึ่งช้างตกมัน
ในระยะเวลาเตรียมทีมไม่ถึงเดือน อิชิอิทำอะไรกับทัพช้างศึกให้กลายเป็นทีมไร้พ่ายในรอบแบ่งกลุ่ม พร้อมทวงเบอร์ 1 อาเซียน (อย่างไม่เป็นทางการ) ได้อย่างไร 🤔
ห้วงเวลาราวๆ 10 วัน++ คือเวลาที่อิชิอิจะมีอยู่ในมือเพื่อใช้เรียกนักเตะเข้าแคมป์เก็บตัวทีมชาติ ก่อนออกบินสู้ศึกเอเชียนคัพ 2023
ท่ามกลางวิกฤตผู้เล่นกำลังหลักบางส่วนมีอาการเจ็บ-ติดภารกิจสโมสรอย่างที่ได้กล่าวไปข้างต้น เป็นปัญหาสำคัญให้อิชิอิต้องเร่งแก้อยู่ไม่น้อย ทำให้ต้องมีการสลับปรับเปลี่ยนผู้เล่นกลางแคมป์
แต่นั่นดูไม่ทำให้อิชิอิรู้สึกหนักใจเท่าไร เต็มที่ก็แค่เสียดาย เพราะบรรยากาศในแคมป์ทีมชาติยังคงเต็มไปด้วยรอยยิ้มจากนักเตะ และเฮดโค้ชชาวญี่ปุ่นคนที่สองในประวัติศาสตร์ของทีมชาติไทย
11 มกราคม คือวันที่ช้างศึกออกบินลัดฟ้าสู่กาตาร์ และตามข้อมูลทีมไทยคือทีมสุดท้ายของบรรดาทีมจากเอเชียนคัพที่บินไปร่วมรายการใหญ่ของเอเชียหนนี้
4-5 วันคือเวลาในการเตรียมความพร้อมมื้อสุดท้าย ก่อนลงเล่นกับคีร์กีซสถาน หนึ่งในนัดที่แฟนบอลคาดหวังว่าไทยเราจะต้องเก็บ 3 แต้มให้ได้หากหวังเข้ารอบต่อไป
เมื่อเกมแรกมาถึง สิ่งที่อิชิอิทำในเกมประเดิมสนามคือการเลือกใช้นักเตะที่มาจากสโมสรเดียวกันเป็นส่วนใหญ่ รวมถึงผู้เล่นที่คุ้นมือ (ที่เคยร่วมงานกันสมัยคุมทีมในไทยลีก) นี่คือการแก้ปัญหาการเตรียมทีมระยะสั้น
ผลที่ได้คือนักเตะมีความเข้าใจสนามกันค่อนข้างดี และสิ่งที่อิชิอิทำเป็นลำดับต่อมา คือป้อนข้อมูลหรือมอบโจทย์ให้นักเตะลงไปทำเป็นการบ้านในสนาม
และสิ่งที่ได้หลายคนไม่คาดคิดว่าจะได้เห็นจากเกมนี้ คือการเล่นที่โดดเด่นในแผงแดนกลางอย่าง วีระเทพ ป้อมพันธุ์ และ พีรดนย์ ฉ่ำรัศมี ที่ยืนคุมพื้นที่กลางสนามให้ทีมได้ดี จนทำให้ผู้เล่นแนวรุกทั้งริมเส้น-กลางรุก ไปจนถึงแดนหน้าได้มีอิสระในการเล่น และนำไปสู่การได้ 2 ประตูปิดเกมนี้ในที่สุด
แต่ถึงจะชนะ ทีมไทยของอิชิอิก็ยังมีโจทย์ให้แก้กันไม่น้อย โดยเฉพาะแผงเกมรับยังพอมีช็อตเคลื่อนที่ช้า หรือขาตายบางจังหวะ (ซึ่งสุ่มเสี่ยงต่อการเสียประตู) รวมถึงเกมรุกที่ต้องเพิ่มความเฉียบคม ควบคู่กับโอกาสสร้างสรรค์เกมรุกที่เราทำได้ดีขึ้นเรื่อยๆ เพียงแต่ยังขาดสกอร์เท่านั้นเอง
ขยับมาที่นัดดวลโอมาน เกมนี้โจทย์หลักที่อิชิอิและขุนพลช้างศึกต้องเจอ คือเกมรุกของคู่แข่งที่จะโถมใส่แบบพายุคั่ง เนื่องจากโอมานต้องการแต้มมากๆๆๆๆๆ
ดังนั้นเกิน 70% ในเกมนี้ เราจึงได้เห็นทีมไทยซื้อเกมรับแบบเต็มสูบ หรือพูดง่ายๆ คือถ้ายิงเขาไม่ได้ เราก็ต้องไม่เสีย!
และอย่างที่เราได้รับชมกัน ทีมไทยเราทำได้! อิชิอิและทีมงานสามารถกระตุ้นแผงเกมรับที่เคยรู้สึก (แอบเป็นห่วง) ให้พวกเขาประสานงานกันได้ดี ท่ามกลางการสกัดเกมรุกคู่แข่งด้วยสมาธิ ที่ต้องบอกว่าแน่นอนจริงๆ
การแท็กทีมของเอเลียสกับพรรษากลายเป็นคู่เซ็นเตอร์แบ็กที่เล่นได้เข้าขากันอย่างไม่น่าเชื่อ บวกกับเฝ้าด้วยฟอร์มสุดนิ่งของ ปฏิวัติ คำไหม ยิ่งทำให้เกมรับทัพช้างศึกชุดนี้กลายเป็นทีมเคี้ยวยากเข้าไปอีก
รวมไปถึงผู้เล่นคนอื่นๆ ที่สลัดภาพนักเตะเดินจงกรมสู่การเล่นแบบ ‘วิ่งสู้ฟัด’ ทุกคนช่วยกันวิ่งเพรสซิง ไล่บีบพื้นที่ บีบคู่แข่งให้เล่นเกมรุกยากที่สุด และทำให้ไทยเรายันเสมอเก็บ 1 แต้มสำคัญมาได้ในที่สุด
ผ่านมาถึงตรงนี้ พลังกายอาจไม่เต็มร้อย แต่พลังใจนั้นล้นถังสุดๆ
ระหว่างทางจากนัดที่ 2 ถึง 3 ผลการแข่งในกลุ่มอื่นส่งให้ทีมไทย การันตีโอกาสเข้ารอบ 16 ทีมสุดท้ายแบบ 100% แบบไม่ต้องมู
นั่นทำให้ในเกมกับซาอุดีอาระเบีย อิชิอิเดิมพันความกล้าของตัวเอง ด้วยการโละกระดาน โรเตชันผู้เล่นทั้ง 11 ตำแหน่ง!
นี่ไม่ใช่การโยนเกม นี่ไม่ใช่ยอมปราชัยเพื่อหลบทีมใด
แต่เป็นเพราะ ‘ความเชื่อมั่น’ ในตัวนักเตะทุกคนของอิชิอิ
เรื่องนี้ผมไม่ได้มโนขึ้นมา แต่มันเป็นสิ่งที่อิชิอิตั้งใจอยากให้ทัพช้างศึกเป็น
เขาปลุกเร้าทีมไทยไว้ตั้งแต่วันแรกที่เข้ามาคุมทีมก่อนบุกไปอุ่นเครื่องที่ญี่ปุ่น โดยเน้นให้นักเตะทุกคนแสดงศักยภาพของตัวเองออกมาให้มากที่สุด
“ผมอยากให้ทีมชาติไทยแสดงศักยภาพของตัวเอง แสดงความเป็นนักสู้ เล่นแบบไม่เกรงกลัวญี่ปุ่น เล่นอย่างดุดัน เป้าหมายในเกมนี้อยากให้ทุกคนได้แสดงศักยภาพที่ดีที่สุดออกมา”
มาถึงวันนี้ วันที่นักเตะทุกคนตอบรับคำขอของอิชิอิด้วยการเค้นศักยภาพของตัวเองในทุกการซ้อม ในทุกนาทีที่ได้โอกาสลงเล่น นั่นจึงเป็นคำตอบว่า ทำไมอิชิอิจึงเชื่อใจและกล้าจะโรเตชันนักเตะแบบยกชุดใส่ยอดทีมอย่างซาอุ
“เหตุผลสำคัญที่ทำให้ผมกล้าตัดสินใจเปลี่ยนตัวจริงทั้ง 11 คน เป็นเพราะตลอดช่วงเวลาที่เราซ้อมด้วยกันมาเกือบ 1 เดือน ผมได้เห็นคุณภาพของนักฟุตบอลแต่ละคน เลยทำให้ตัวผมกล้าที่จะเปลี่ยน”
ว่ากันว่า ‘ความบ้า’ vs. ‘ความกล้า’ คือเส้นบางๆ ที่ขนานกัน แต่อิชิอิรวมสิ่งเหล่านี้เป็นหนึ่ง และตัดสินใจทำสิ่งนี้ เขาเลือกผู้เล่นชุดสำรองดวลแข้งซาอุของ โรแบร์โต มันชินี ที่เลือกผสมผู้เล่นหลัก+สำรอง คละกันลงสนามเกมนี้
ทว่าสิ่งที่เห็น ไม่เป็นอย่างที่คิด!
ผู้เล่นชุดสำรองของไทยทุกคนเดินเครื่องแลกอาวุธกับซาอุ ทีมที่เคยล้มอาร์เจนตินาในบอลโลกมาแล้ว ได้อย่างสนุกท่ามกลางเกมที่ทำงานอย่างหนัก เกมรุกที่สวนไปก็ได้ลุ้นอยู่เสมอ และสามารถส่งบอลไปซุกก้นตาข่าย แต่โชคไม่ดีถูกไลน์แมนในเกมนี้ที่ตาคมดุจเหยี่ยว ตีธงยึดประตูไปถึง 2 ครั้งในครึ่งแรก
ขณะที่ทีมไทยเองก็มีช็อตเสียท่าพลาดทำฟาวล์ผู้เล่นซาอุจนเสียจุดโทษ แต่อย่างที่บอกไปก่อนหน้านี้ ทีมเรากำลังอยู่ในช่วงความมั่นใจสูง สรานนท์ อนุอินทร์ ที่ได้โอกาสเฝ้าเสานัดแรกในสีเสื้อทีมชาติ และเป็นจอมเซฟลูกจุดโทษอยู่แล้ว
จัดการใช้ขาเซฟลูกโทษดังกล่าว ทำให้ทีมยังอยู่ในเกม แถมทวีความมั่นใจมากขึ้นเป็นเท่าตัว (แม้ยังมีช็อตชวนให้ใจหายบ้างก็ตาม)
หลังจากนั้น สิ่งที่เราเห็นคือการที่นักเตะไทยยืนหยัดสู้กับเกมรุกที่โหมอย่างหนักในช่วงครึ่งหลัง ที่รู้สึกได้เลยว่ามันชินีสั่งลูกทีมเหยียบคันเร่ง หวังบดชนะให้ได้ โดยเฉพาะการส่งแนวรุกคนสำคัญมาพร้อมกัน 3 คน
แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่อิชิอิเองก็อ่านไว้อยู่แล้ว วิธีการวิ่ง-การเล่นเกมแบบรัดกุมของนักเตะไทย ไม่ใช่เรื่องบังเอิญหรือผีเข้าแต่อย่างใด หากแต่เป็นแผนการและแท็กติกที่อิชิอิใส่โปรแกรมลงหัวผู้เล่นทุกคนไว้แล้ว
และที่สำคัญคือผู้เล่นทุกคนเชื่อใจกัน ปลุกกำลังใจกันให้ช่วยกันลุกขึ้นสู้ตลอดเวลา นั่นทำให้เราไม่เจอนักเตะที่แสดงสีหน้าแบบหมดอาลัยตายอยากระหว่างเกมเลย
อิชิอิโชว์ให้เห็นว่า ทีมไทยชุดนี้ไม่ใช่มีดีแค่ผู้เล่น 11 ตัวหลัก แต่กำลังเสริมที่นั่งรอโอกาสอยู่ม้านั่งสำรองตลอด 2 เกมก่อนหน้า ทุกคนสามารถลงเล่นและกลายเป็นหนึ่งในหมากบนหน้ากระดานที่พึ่งได้ทุกคน
เราไม่สามารถรู้ได้เลยว่า แท็กติกหรือวิธีการที่อิชิอิป้อนให้ผู้เล่นระหว่างฝึกซ้อม จริงๆ แล้วมันคืออะไร แต่ที่สัมผัสได้จากผลงานในสนาม ก็ต้องพูดได้เลยว่ามันเวิร์กสุดๆ โดยเฉพาะระยะเวลาเตรียมทีมที่ไม่ถึงเดือนก่อนทัวร์นาเมนต์นี้
ถึงตรงนี้ เราได้เข้ารอบไปเจอกับอุซเบกิสถานในรอบ 16 ทีมสุดท้าย จะแพ้หรือชนะ แฟนบอลอย่างเราๆ ไม่สนใจแล้ว
เพราะการได้เห็นทีมชาติไทยเวอร์ชันที่ขยันวิ่งอย่างมีหลักการ เล่นด้วยหัวใจที่สู้ ความเชื่อมั่นและมั่นใจที่เห็นจากสายตา มันก็มากเพียงพอที่จะกอบกู้ศรัทธาที่เคยแหลกสลายจากแฟนบอลให้กลับมาอีกครั้ง
นี่ยังไม่รวมกับผลงานที่ทัพช้างศึกกลายเป็นทีมไร้พ่ายในรอบแบ่งกลุ่ม ไม่เสียประตูให้ทีมใดเลย ทำให้แฟนบอลได้เชียร์อย่างสนุกสนาน รวมถึงการทวงบัลลังก์เบอร์ 1 อาเซียน (อย่างไม่เป็นทางการ) กลับมาอีกครั้งในรอบหลายปี
โค้ชคนหนึ่งมีเวลามีเตรียมทีมไม่ถึงเดือน แต่มอบกำไรให้ทีมชาติและแฟนบอลได้ขนาดนี้ ถ้าผมไม่อวยตอนนี้จะให้อวยตอนไหนล่ะ จริงไหม
อิชิอิ กัมบัตเตะ 😊💪🇹🇭