สิ้นสุดการรอคอยกับงานใหญ่ที่สุดประจำปีในฝั่งฮาร์ดแวร์ของ Apple ภายใต้ธีม It’s Glow Time ที่เปิดตัวอุปกรณ์เทคโนโลยีทั้ง Apple Watch Series 10, AirPods 4 และ iPhone 16 ซึ่งจัดขึ้นในวันที่ 9 กันยายน 2024 ตามเวลาท้องถิ่นของสหรัฐฯ
THE STANDARD WEALTH ขอสรุปไฮไลต์ในส่วนของอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์มาให้เห็นภาพรวมกัน แม้ว่าส่วนใหญ่จะเป็นไปตามข่าวที่หลุดมาก่อนหน้านี้ก็ตาม แต่ใดๆ ก็ยังน่าตื่นเต้นอยู่ไม่น้อย
โฉมใหม่ Apple Watch ครบรอบ 10 ปี
เริ่มกันที่ตัวแรก Apple Watch Series 10 ซึ่งถือเป็นเวลาเกือบหนึ่งทศวรรษแล้วที่ Apple เปิดตัวสมาร์ทวอทช์รุ่นแรก โดยจุดเด่นของอุปกรณ์นี้คือการออกแบบโฉมใหม่ ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่นับตั้งแต่อุปกรณ์วางขายครั้งแรก ซึ่ง Tim Cook ซีอีโอของบริษัท กล่าวว่า “Apple Watch Series 10 เป็นดีไซน์ที่มีหน้าจอใหญ่ที่สุดและดีไซน์บางที่สุดของเรา”
ตัวเรือนมีความบาง 9.7 มิลลิเมตร ที่บางกว่ารุ่น Series 9 ถึง 10% และนี่เป็นครั้งแรกที่ผู้ใช้จะสามารถเล่นเพลงกับพอดแคสต์ได้โดยตรงบน Apple Watch ทำให้นาฬิกามีน้ำหนักเบากว่าเดิม
Apple Watch Series 10 ขับเคลื่อนโดยชิป S10 ใหม่ ซึ่งจะช่วยในการใช้งานแอปพลิเคชันแปลภาษาที่ทำงานด้วยระบบ AI ของบริษัทผ่านความสามารถของอุปกรณ์ในการรับเสียงและแปลออกมาในหลากหลายภาษา โดยแอปแปลภาษาดังกล่าวจะทำงานได้กับซอฟต์แวร์ล่าสุดของสมาร์ทวอทช์ watchOS 11
สำหรับ Apple Watch SE วางจำหน่ายในราคาเริ่มต้นที่ 7,900 บาท เริ่มวางจำหน่าย 20 กันยายนนี้ ส่วน Apple Watch Series 10 ราคาเริ่มต้นที่ 14,900 บาท ถูกระบุว่าจะเปิดให้สั่งซื้อเร็วๆ นี้
อีกสิ่งที่คนชอบสีดำน่าจะร้องกรี๊ด Apple Watch Ultra 2 ที่มาใน ‘สีไทเทเนียมดำ’ โดยยังคงวางขายในราคาเริ่มต้นที่ 29,900 บาท ซึ่งถูกกว่าครั้งแรกที่วางขายในราคา 31,900 บาท และรอบนี้ยังมี Apple Watch Hermès Ultra จำหน่ายในราคา 50,500 บาท โดยเริ่มวางขาย 20 กันยายนนี้
หูฟัง AirPods 4 มีให้เลือก 2 รุ่น
ขยับมาตัวที่สอง AirPods ที่ออกมาเป็นรุ่นที่ 4 หลังรุ่นที่ 3 เปิดตัวไปเมื่อ 3 ปีที่แล้ว โดยการมาของ AirPods 4 ครั้งนี้จะเป็นครั้งแรกที่โมเดลธรรมดามีตัวเลือกให้ผู้ใช้งานสามารถอัปเกรดเพิ่มฟีเจอร์ตัดเสียงได้ (แต่ราคาเพิ่มขึ้นอีก 1,500 บาท)
นอกจากนี้ AirPods Pro หูฟังขนาดเล็กอีกหนึ่งรุ่นที่ได้รับความนิยมอย่างมากก็มีฟีเจอร์ใหม่ที่สามารถใช้เป็นอุปกรณ์ช่วยฟังที่ Apple เคลมว่า ‘มีมาตรฐานเดียวกันกับที่ใช้งานในอุตสาหกรรมการแพทย์’ ซึ่งจะช่วยให้ผู้ใช้งานที่มีปัญหาการรับเสียงได้ยินอย่างชัดเจนมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม ฟีเจอร์การช่วยฟังยังคงอยู่ระหว่างการตรวจสอบความปลอดภัยจากองค์การอาหารและยาของสหรัฐฯ (FDA) แต่ Apple ก็ยืนยันว่าการอนุมัติ ‘กำลังใกล้เข้ามาแล้ว’
AirPods 4 ระบุว่าจะเปิดขายได้เร็วๆ นี้ในราคา 4,990 บาท ส่วน AirPods 4 พร้อมระบบตัดเสียงรบกวนแบบแอ็กทีฟเคาะราคา 6,490 บาท นอกจากนี้ AirPods Max มีให้เลือกถึง 5 สี ซึ่งสามารถชาร์จแบบ USB‑C ได้ โดยวางขายในราคาเดิม 19,900 บาท
Apple Intelligence เริ่มใช้ได้เดือนหน้า แต่ยังไม่มี ‘ไทย’
อีกหนึ่งความคืบหน้าต่อจากงาน WWDC 2024 ที่จัดไปเมื่อช่วงกลางปี คือการเผยความคืบหน้าของการใช้ Apple Intelligence ระบบ AI ที่สุดแสนจะภูมิใจของ Apple จะเริ่มเปิดให้ใช้งานในเดือนหน้าพร้อมกับ iOS 18.1, iPadOS 18.1 และ macOS Sequoia 15.1 ส่วนฟีเจอร์อื่นๆ จะทยอยเปิดให้ใช้งานในเดือนต่อๆ ไป
ในช่วงแรก Apple Intelligence จะเปิดให้ใช้งานในภาษาอังกฤษแบบ U.S. English และเร็วๆ นี้จะเพิ่มภาษาอังกฤษ Australia, Canada, New Zealand, South Africa และ U.K. ในราวเดือนธันวาคมที่จะถึงนี้
ส่วนฟีเจอร์อื่นๆ รวมถึงการรองรับภาษาอื่นๆ อาทิ ภาษาอังกฤษแบบ Singapore, ภาษาฝรั่งเศส, ภาษาญี่ปุ่น และภาษาสเปน จะทยอยรองรับเพิ่มเติมภายในปีหน้า และเป็นที่น่าเสียดายสำหรับประเทศไทยนั้นยังไม่ได้รวมอยู่ในรายชื่อนี้ ดังนั้นคนไทยอาจจะสามารถใช้งานได้ในปี 2026 เลย
มาแล้ว ‘iPhone 16’
แน่นอนว่างานในครั้งนี้พระเอกคงหนีไม่พ้น iPhone 16 (ซึ่งแทบจะเป็นไปตามข่าวลือทั้งหมด) โดย Tim Cook กล่าวว่า “ถูกออกแบบมาเพื่อทำงานร่วมกับ Apple Intelligence โดยเฉพาะ” ทำให้กลยุทธ์ของ Apple ที่จะผนวกเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์อย่างเต็มตัวมีความชัดเจนยิ่งขึ้น แต่ประเด็นที่ว่ากลยุทธ์นี้จะดึงให้ยอดขายกลับมาได้หรือไม่ยังเป็นสิ่งที่ต้องจับตา
หนึ่งในการอัปเดตที่ใหญ่ที่สุดของ iPhone 16 คือ ‘การเพิ่มปุ่มควบคุมกล้อง’ ที่ตอบสนองต่อการคลิกในลักษณะต่างๆ โดยการกดเบาๆ จะแสดงพรีวิวของภาพถ่าย ในขณะที่การเพิ่มแรงกดจะเป็นการสั่งถ่ายภาพ และการสไลด์นิ้วบนปุ่มก็จะเป็นซูมเข้า-ออก ทำให้การเข้ากล้องสามารถทำได้อย่างรวดเร็ว
นอกจากนี้ยังมีชิป A18 ใหม่ที่ Apple เคลมว่าจะทำให้ iPhone 16 เร็วขึ้นถึง 30 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเปรียบเทียบกับ iPhone 15 และหน้าจอมาพร้อมกับ Ceramic Shield เจเนอเรชันล่าสุดที่มีการผสมสูตรอันล้ำสมัยซึ่งมีความแข็งแกร่งกว่า Ceramic Shield เจเนอเรชันแรก 50 เปอร์เซ็นต์ แข็งแกร่งกว่ากระจกบนสมาร์ทโฟนอื่นๆ ถึง 2 เท่า
สำหรับรุ่นที่พรีเมียมกว่าทั้ง iPhone 16 Pro และ iPhone 16 Pro Max จะมาพร้อมกับหน้าจอที่ใหญ่ขึ้นเล็กน้อย โดยรุ่น Pro ธรรมดาจะมีหน้าจอ 6.3 นิ้ว ในขณะที่ Pro Max มีหน้าจอ 6.9 นิ้ว รวมถึงรุ่น Pro จะมาพร้อมกับปุ่มควบคุมกล้องและชิป A18 Pro ซึ่ง Apple กล่าวว่า iPhone 16 Pro Max มี ‘อายุการใช้งานแบตเตอรี่ที่อึดที่สุดเท่าที่เคยมีมา’
สำหรับiPhone 16 และiPhone 16 Plus จะมาในสีน้ำเงินอัลตรามารีน, สีเขียวอมฟ้า, สีชมพู, สีขาว และสีดำ พร้อมด้วยพื้นที่จัดเก็บข้อมูลความจุ 128GB, 256GB และ 512GB โดยiPhone 16 ราคาเริ่มต้นที่ 29,900 บาท และiPhone 16 Plus ราคาเริ่มต้นที่ 34,900 บาท
ส่วนiPhone 16 Pro และiPhone 16 Pro Max จะมาในสีไทเทเนียมดำ, สีไทเทเนียมธรรมชาติ, สีไทเทเนียมขาว และสีไทเทเนียมทะเลทราย พร้อมด้วยพื้นที่จัดเก็บข้อมูลความจุ 128GB, 256GB, 512GB และ 1TB โดยiPhone 16 Pro ราคาเริ่มต้นที่ 39,900 บาท และiPhone 16 Pro Max ราคาเริ่มต้นที่ 48,900 บาท
โดยทั้ง 2 รุ่นสามารถสั่งจองล่วงหน้าได้ตั้งแต่วันศุกร์ที่ 13 กันยายน เวลา 19.00 น. (ตามเวลาประเทศไทย) และจะวางจำหน่ายตั้งแต่วันศุกร์ที่ 20 กันยายน ขณะที่ iOS 18 จะพร้อมให้ใช้งานในรูปแบบของการอัปเดตซอฟต์แวร์ฟรีในวันจันทร์ที่ 16 กันยายน