วันนี้ (10 มีนาคม) กรณีที่ปรากฏเป็นข่าวว่า มีบุคคลกลุ่มหนึ่งที่ใกล้ชิดกับรัฐมนตรีในรัฐบาลไปร่วมกระบวนการกักตุนหน้ากากอนามัย เพื่อนำไปจำหน่ายในราคาแพง ท่ามกลางสถานการณ์ที่ประชาชนคนไทยกำลังขาดหน้ากากไว้ใส่ป้องกันตนเองจากเชื้อไวรัส พล.ต.อ. เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส ประธานคณะกรรมาธิการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (กมธ.ป.ป.ช.) เห็นว่า เรื่องนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งที่จะต้องเข้าไปตรวจสอบ
โดยเห็นว่า ทุกฝ่ายจะต้องช่วยกันทำเรื่องนี้ให้กระจ่าง รวมทั้ง พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้นำที่จะต้องแสดงความรับผิดชอบเช่นเดียวกัน เพราะรัฐบาลชุดนี้ไม่สามารถบริหารจัดการเรื่องหน้ากากอนามัยให้เพียงพอต่อความต้องการของประชาชนได้ โดยเฉพาะกลุ่มที่มีความจำเป็นเร่งด่วน เช่น กลุ่มแพทย์ พยาบาล บุคลากรด้านสาธารณสุข หรือกลุ่มคนที่ทำงานให้บริการด้านสาธารณะ
และจากการที่ได้ติดตามข้อมูลในเบื้องต้นพบว่า มีความพยายามเบี่ยงเบนประเด็น ว่า เป็นการกระทำความผิดเพียง พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ แต่ยังไม่มีการตรวจสอบลงลึกไปถึงกระบวนการกักตุนหน้ากากอนามัย ที่เชื่อมโยงไปถึงคนที่เกี่ยวข้องอีกหลายคน โดยเฉพาะบุคคลใกล้ชิดกับรัฐมนตรีในรัฐบาล
“ดูเหมือนว่าอาจจะมีการพยายามช่วยเหลือปกปิดข้อเท็จจริงในบางเรื่องหรือไม่ เช่น การที่ตำรวจช่วยอุ้มผู้ต้องสงสัยหลบนักข่าว โดยอ้างว่า ไปเข้าห้องน้ำ ทั้งที่บนโรงพักก็มีห้องน้ำ หรือตำรวจกำลังปล่อยให้มีการเคลื่อนย้ายหรือทำลายหลักฐานการกักตุนสินค้าอยู่หรือไม่ ที่สำคัญ ทำไมถึงไม่ตรวจสอบบัญชีธนาคาร เพราะจะเห็นเส้นทางการเงินที่ชัดเจน” พล.ต.อ. เสรีพิศุทธ์ กล่าว
พล.ต.อ. เสรีพิศุทธ์ กล่าวต่ออีกว่า การจะลักลอบเอาหน้ากากออกมาจากหน่วยงานรัฐได้ จะต้องมีบุคคลหลายฝ่ายเข้าไปเกี่ยวข้อง โดยเฉพาะผู้อนุมัติและผู้จัดส่งสินค้า ซึ่งเรื่องเหล่านี้ตรวจสอบได้ไม่ยาก แม้ดูเหมือนว่าจะมีความพยายามเบี่ยงเบนประเด็นและทำลายพยานหลักฐานก็ตาม
“ทั้งหมดนี้จึงเป็นประเด็นที่ทางคณะ กมธ.ปปช. จะเข้าไปตรวจสอบ เพื่อให้ได้คำตอบว่า หน้ากากอนามัยหายไปไหน ใครเกี่ยวข้องกับการกักตุน และนี่ไม่ถือว่าเป็นการกักตุนสินค้าธรรมดา แต่มันคือการกักตุนสินค้าซึ่งเป็นเครื่องมือป้องกันชีวิตคนไทยจากเชื้อไวรัส ท่านนายกฯ จะทำเป็นเรื่องล้อเล่น ปล่อยให้คนกักตุนลอยนวลไปเฉยๆ ไม่ได้” พล.ต.อ. เสรีพิศุทธ์ กล่าวทิ้งท้าย
พิสูจน์อักษร: ภาวิกา ขันติศรีสกุล