×

แรงบันดาลใจของ จ๋า ยศสินี ที่กลั่นมาจากความสูญเสียและการเดินทางคนเดียว [Advertorial]

28.09.2017
  • LOADING...

HIGHLIGHTS

8 Mins. Read
  • เมื่อก่อนจ๋าเคยมองหาแรงบันดาลใจจากภายนอก แต่ปัจจุบันจ๋ารู้แล้วว่าแรงบันดาลใจที่ดีที่สุดต้องออกมาจากการทำงานของตัวเอง
  • จ๋าเชื่อว่าทุกครั้งที่เกิดการสูญเสีย ชีวิตจะเกิดการเปลี่ยนแปลง และหน้าที่ของมนุษย์คือมองหาแสงสว่างบางอย่างให้เจอ ไม่ใช่จมดิ่งไปกับความมืดมิดเหล่านั้น
  • จ๋าเริ่มเดินทางคนเดียวตั้งแต่อายุ 12 และค้นพบว่าการเดินทางคือสิ่งสำคัญในชีวิต โดยเฉพาะในแง่ทำให้รู้ตัวว่าจริงๆ แล้ว ‘มนุษย์’ เป็นเพียงสิ่งมีชั่วคราวและไม่มีความจำเป็นอะไรกับโลกใบนี้เลย

     จ๋า-ยศสินี ณ นคร คือต้นแบบของผู้จัดละครรุ่นใหญ่ที่ทำงานหนักเพื่อสร้างสรรค์ผลงานในวงการบันเทิงมาตลอด แต่ถ้าเคยติดตามผลงานของเธอ จะเห็นว่างานของเธอเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา เธอไม่เคยปล่อยให้อายุและความสำเร็จในวันวานมาปิดกั้นความคิดสร้างสรรค์ในการผลิตชิ้นงานที่มีคุณภาพ

     ในขณะที่คนอื่นพอใจกับความสำเร็จและโอบกอดเวลาแห่งความสุขเอาไว้กับตัว แต่จ๋าเลือกที่จะ ‘ออกเดินทาง’ ด้วยตัวคนเดียว รวมทั้งกลั่นกรองความรู้สึกทุกอย่างทั้งความสุขความทุกข์ รวมทั้งช่วงเวลาแห่งการสูญเสีย เพื่อแปรเปลี่ยนเป็นพลังงานและแรงบันดาลใจสำคัญ ที่ทำให้เธอยังมีไฟในการทำงาน และไม่มีแม้แต่ครั้งเดียวที่เธอคิดหยุดสร้างสรรค์ ถึงแม้ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าไหร่ก็ตาม

 

 

ทำละครเรื่องไรต่อดีนะ? #ว่ามาซิ

โพสต์ที่แชร์โดย Yossie Nanakorn (@yossiebistro) เมื่อ

 

ความท้าทายในการเป็น ‘ผู้จัด’ ละครและรายการโทรทัศน์ในยุคที่คนหันไปเสพสื่อออนไลน์มากขึ้นคืออะไร แล้วคุณมีวิธีรับมือกับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นนี้อย่างไรบ้าง

     จ๋าไม่ยึดติดกับแพลตฟอร์ม ไม่คิดว่าตัวเองเป็นผู้จัดละครหรือรายการโทรทัศน์ เราเป็น Content Provider จ๋าเชื่อว่าคนยังหิวกระหายคอนเทนต์ที่ดี เราแค่สร้างคอนเทนต์ที่ดีออกมา แล้วคนจะตามไปดูทั้งนั้น ไม่ว่าจะในมือถือหรือที่ไหนก็ได้ แต่ที่เหนือกว่านั้นคือคำพูดที่ว่า Content is King แต่จ๋าว่าแพสชันเป็นยิ่งกว่านั้น ตราบใดที่เรายังมีแพสชันในการทำคอนเทนต์ที่ดี แพลตฟอร์มไม่สำคัญเลย

 

แพลตฟอร์มเปลี่ยนไป แล้วนิยามของคำว่าคอนเทนต์ที่ดีเปลี่ยนแปลงไปด้วยหรือเปล่า

     ไม่เปลี่ยน คอนเทนต์ที่ดีสุดท้ายสรุปได้ด้วยคำเดียวคือ สนุก ละครสนุกอาจเป็นละครดราม่าก็ได้ คือตอบโจทย์เรื่องความสนุกให้คนดู เราไม่ทิ้งความเป็นมนุษย์ เพราะสุดท้ายสิ่งที่ไม่เปลี่ยนคือคนดูที่เป็นมนุษย์ เราไม่ได้ทำละครให้หุ่นยนต์ดู เราไม่ได้ทำรายการทีวีให้หมูหมาแมวดู เพราะฉะนั้นแพลตฟอร์มเปลี่ยนแค่ไหน แต่คนดูก็ยังเป็นมนุษย์ที่ต้องการความรู้สึกที่เกิดขึ้น แล้วเราสร้างคอนเทนต์ไปเติมเต็มในบางมุม ทั้งรัก โลภ โกรธ หลง เสียใจ อกหัก สูญเสีย ต้องการหาความสุขอีกครั้ง ถ้าเราจับเข้าไปถึงความต้องการของมนุษย์ให้เขามีความสุขกับคอนเทนต์ของเราได้ ตรงนั้นคือเรื่องสำคัญที่สุด

 

 

อะไรคือแรงบันดาลใจที่ทำให้คุณยังทำงานหนักอย่างเช่นทุกวันนี้ ทั้งที่จริงๆ ระดับจ๋า ยศสินี ทำงานมามากขนาดนี้ น่าจะเริ่มปล่อยมือจากการทำงานได้บ้างแล้ว    

     ตอนเด็กๆ เราเคยหาแรงบันดาลใจจากข้างนอก จากคนนู้นคนนี้ แต่แป๊บเดียวมันก็เหือดแล้วต้องหาจากที่ใหม่ พออายุเยอะขึ้น จ๋ารู้สึกว่าสิ่งที่จะเป็นแรงบันดาลใจเราได้จริงๆ ต้องมาจากข้างในตัวเราเอง นั่นคือการทำงาน เราต้องรักงานในระดับบ้าคลั่ง คิดถึงมันตลอดเวลา มีความสุขที่ได้สร้างอะไรขึ้นมา เราจะรู้สึกมีแรงบันดาลใจกลับมาทุกครั้งเมื่อรู้ว่างานที่เราทำออกไปมีประโยชน์กับคนอื่น ตอบโจทย์ชีวิตของเขา ง่ายๆ เลยแค่เขาทำงานกลับมาเหนื่อยๆ ดูละครของเราแล้วเขามีความสุขแค่นั้นพอแล้ว ความรู้สึกพวกนั้นจะกลับมาเป็นแรงบันดาลใจในการทำงานเกิดขึ้นมาโดยไม่ต้องไปหาที่ไหนเลย จนถึงตอนนี้ยังไม่เคยมีความคิดที่จะเกษียณเลยนะ ต้องยอมรับอย่างหนึ่งนะว่าความแก่ก็ช่วยเหลืออะไรเราได้หลายอย่างเหมือนกัน (หัวเราะ) พออายุมากขึ้น ประสบการณ์มากขึ้น ทำให้เรานิ่งมากพอที่จะเห็นอะไรชัดเจนมากขึ้นไปด้วย

 

ในขณะที่หลายคนมีความคิดว่าต้องรีบทำงานหนัก เก็บเงิน รีบเกษียณเพื่อไปพักผ่อนให้เร็วที่สุด

     จ๋าไม่รอวันนั้น เพราะจ๋าทำงานทุกวัน รีไทร์ทุกวัน รีไทร์ตลอดเวลา (หัวเราะ) ด้วยความที่เราเลือกสู้กับงานตรงนี้ จ๋าสามารถทำงานจากที่ไหนก็ได้ในโลก เพราะฉะนั้นจ๋าจะรีไทร์ตัวสักอาทิตย์ ไปเที่ยวเมืองนอก ต่างจังหวัด หรือนั่งอยู่เฉยๆ ในคอนโดไม่พูดกับใครก็ได้ แล้วทุกครั้งที่พักผ่อนจะพบว่าเราพร้อมกลับมาทำงานอยู่ดี โดยความคิดที่ว่าไม่อยากทำงานอีกแล้วไม่เคยเกิดขึ้นเลย

 

 

การพักผ่อนของคุณคือไปพักผ่อนจริงๆ หรือว่าตั้งเป้าไว้เลยว่าจะไปเพื่อหาแรงบันดาลใจโดยเฉพาะ

     พักผ่อนจริงๆ เมื่อก่อนจ๋าเคยตั้งเป้าว่าต้องออกเดินทางหาแรงบันดาลใจ แล้วเราเค้นจนเหนื่อย วันนี้ต้องไปมิวเซียม ไปนู่นไปนี่ แต่ตอนนี้เราไม่เค้นแล้ว เราไปเพื่อพักผ่อน เมื่อตัวเราสบาย ใจเราสบาย เราจะเห็นทุกอย่างชัดเจนขึ้น แล้วแรงบันดาลใจจากทุกๆ ที่จะเดินทางมาหาเราเอง

     เมื่อเรานิ่งเราจะมองเห็นทุกอย่างชัดเจนขึ้น ลึกซึ้งขึ้น ตีความอะไรได้มากขึ้น หลังจากนั้นมันจะกลั่นออกมาเองว่า เออ อันนี้ดีจัง กลายเป็นแมสเสจที่เราอยากส่งต่อโดยอัตโนมัติ

 

เริ่มมองเห็นแรงบันดาลใจจากความนิ่ง ความสบาย ไม่ต้องเค้นอะไร ตั้งแต่เมื่อไหร่

   นิ่งขึ้นเมื่อ 4-5 ปีที่ผ่านมา จ๋ามองอะไรเปลี่ยนไปเยอะเมื่อชีวิตเริ่มพบกับการสูญเสีย เริ่มจากคุณยายเสีย เพื่อนสนิทเสีย ลูกน้องเสีย ล่าสุดคุณพ่อเสียเมื่อปีที่แล้ว เมื่อก่อนเคยมองว่าทุกครั้งที่เกิดการสูญเสียทำให้ชีวิตพัง ไม่มีความสุขในชีวิตอีกแล้ว แต่ถ้ามองให้ดีทุกครั้งที่เกิดการสูญเสียครั้งใหญ่ มืดมน มันเป็นขั้นหนึ่งในชีวิตที่ต้องยอมรับ แล้วหน้าที่ของเราคือต้องมองหาแสงสว่างจากการสูญเสียนั้นให้ได้ เรารู้ว่าความทุกข์ที่สุดคืออะไร เพราะฉะนั้นเราจะไม่เสียเวลาทุกข์ไปกับเรื่องเบี้ยบ้ายรายทาง ไม่เครียดกับปัญหาชั่วคราว

 

เราจะมองเห็นแสงสว่างในช่วงเวลาที่มืดมนแบบนั้นได้อย่างไร

   ยากมากเลยนะ ส่วนตัวจ๋าผ่านมาได้ด้วยศาสนา การปฏิบัติธรรมและกัลยาณมิตร เราต้องค้นหาให้เจอจริงๆ แต่เดี๋ยวนี้คนมองไม่เห็นเรื่องเหล่านี้ เราเสียเวลาให้กับคนที่ไม่หวังดีกับเรา ให้สังคมที่เราไม่รู้จัก หรือเรื่องราวต่างๆ ในโลกโซเชียล ทุกอย่างที่อยู่ข้างนอกตัวเรา โดยที่ไม่ได้กลับมาอยู่กับใจตัวเองเท่าที่ควร ซึ่งถ้าเราเอาใจไปอยู่ข้างนอก เราไม่มีวันเจอแสงเหล่านี้เลย การเอาตัวเองกลับมาอยู่กับใจเป็นความท้าทายขั้นสุดที่เราต้องทำให้ได้

 

 

การออกเดินทางช่วยให้มองเห็นแสงสว่างนั้นได้มากขนาดไหน

   มากเลย การเดินทางคือสิ่งที่โคตรจำเป็นกับชีวิตจ๋า เพราะทุกครั้งที่ออกเดินทาง เราจะได้ออกไปเห็นโลกกว้าง ไปอยู่ในที่ที่ไม่รู้จัก มันทำให้เรากลับมารู้ว่า จริงๆ แล้วเราไม่ได้จำเป็นต่อโลกนี้เลย เวลาไปเจอธรรมชาติที่ยิ่งใหญ่ เราจะรู้ว่าสิ่งที่ยิ่งใหญ่จริงๆ คือธรรมชาติ มนุษย์ไม่ได้ยิ่งใหญ่ขนาดนั้น หรือเวลาไปอยู่ที่ที่ไม่มีคนรู้จัก เราสามารถนอนตายไปได้โดยไม่มีใครรู้เลย คนเราไม่ได้มีความสำคัญกับโลกขนาดนั้น เราเป็นแค่สิ่งมีชีวิตชั่วคราว เป็นแค่ฝุ่นผงของจักรวาล ต่อให้เราหายไปโลกก็ยังเดินต่อไป

   เวลาอยู่ในโลกของเรามากๆ เราจะรู้สึกว่ามีคนเข้ามาเอาใจเรา แสงสว่างส่องมาที่เราจนทำให้ตัวเราใหญ่โต แต่ทุกครั้งการเดินทางจะดึงเรากลับมาจากสปอตไลต์ ดึงเราออกมาจากโลกที่คุ้นเคย แล้วเราจะรู้ว่าคุณไม่ได้จำเป็นกับโลกนี้ เราจะไม่ซีเรียสกับตัวเองหรือยึดติดกับตัวตนมากจนเกินไป

 

การเดินทางคนเดียวกับเดินทางหลายคน ให้ความรู้สึกต่างกันมากขนาดไหน

   ต่างมาก กับสามีจ๋ายังไม่ค่อยไปด้วยเลย (หัวเราะ) พูดถึงธรรมชาติของจ๋าก่อน จ๋าเป็นผู้จัดละคร พอมีมนุษย์อยู่ใกล้ๆ เราจะมีความระแวงขึ้นมาทันทีว่า เขาโอเคไหม สบายดีไหม กินอิ่ม นอนหลับ ต้องรีบไปไหนหรือเปล่า มีความกังวลเพราะอยากให้คนข้างๆ มีความสุขที่สุด

   แต่ทันทีที่เดินทางคนเดียวชีวิตเราเปลี่ยนทันที ตั้งแต่ขึ้นรถไปสนามบิน อยู่บนเครื่องบินเราไม่จำเป็นต้องรีบเลย เพราะการเดินทางของจ๋าไม่เคยมีแพลน ไม่มีเวลากำหนด สโลว์ดาวน์ตัวเองมากๆ แถวยาวก็ไม่เป็นไร อยากนอนตื่นสายก็ดี มีเวลาแค่ไหนก็แค่นั้น เวลากินข้าวกับคนอื่นเราจะสั่งนู่นนี่นั่นเยอะแยะไปหมด แต่พอกินคนเดียวเรากินนิดเดียวก็อิ่ม ตัวเราไม่ได้ต้องการอะไรเยอะเลย ความพอใจเราเล็กลงมาก มันย้ำเตือนอีกครั้งว่าตัวเราไม่ได้ยิ่งใหญ่ ไม่ต้องกินเยอะ ไม่ต้องถือกระเป๋า ไม่ต้องสวมหัวโขนอะไรเลย อยู่เฉยๆ สบายๆ เงียบๆ ไม่ต้องพูดกับใคร และได้อยู่กับตัวเองมากขึ้น

 

 

ทริปแรกที่เริ่มเดินทางคนเดียวคือที่ไหน และการเดินทางคนเดียวครั้งนั้นให้อะไรกับคุณกลับมาบ้าง

   ตั้งแต่อายุ 12 ไม่ได้เดินทางคนเดียวเต็มตัว แต่คุณแม่ปล่อยให้เดินเที่ยวฮ่องกงคนเดียว แค่นัดกันว่าเดี๋ยวต้องไปเจอกันที่ไหน ทันทีที่เราไปคนเดียว เราอยากเดินไปที่ไหนก็ได้ อยากซื้ออะไรได้ตามใจไม่ต้องมีคนมาบังคับว่าอันนั้นดีหรือไม่ดี การมีประสบการณ์แบบนั้นตั้งแต่อายุยังน้อยทำให้รู้สึกว่า เราทำแบบนั้นได้นี่นา พอเริ่มทำงานก็ขับรถไปหัวหินคนเดียวทุกอาทิตย์ แค่ไปซื้อขนมแล้วกลับเลยก็ได้ ชอบใช้เวลาอยู่คนเดียวในรถ การเดินทางคนเดียวมันไม่จำเป็นต้องยิ่งใหญ่อะไรเลย

 

การเดินทางคนเดียวครั้งไหนที่ประทับใจคุณมากที่สุด

   ไม่มีเลย ทุกทริปให้ความรู้สึกที่แตกต่างออกไป ญี่ปุ่น อเมริกา ยุโรป เกาหลี ภูเก็ต หรือเชียงใหม่ ทุกที่มีความเป็นตัวของมันเอง มีบางอย่างรอสอนเรา ให้ข้อคิด แรงบันดาลใจและความสงบกับตัวเรา แล้วจ๋าไม่ใช่คนชอบเปรียบเทียบว่าทริปไหนดีกว่าทริปไหน ที่นั่นสวยกว่าที่นี่ เราไปและมองตามที่มันเป็นแบบนั้นจริงๆ

 

สำหรับคนที่อยากเดินทางคนเดียวแต่ยังไม่กล้า มีเคล็ดลับแนะนำให้เขากล้าออกเดินทางคนเดียวบ้างไหม

   อย่ากลัว คนที่ไม่กล้าเที่ยวคนเดียวคือกลัวการอยู่คนเดียว กลัวว่านั่งกินข้าวคนเดียวจะแปลกไหมนะ ต้องพกหนังสือสักเล่มเพื่อจะได้ไม่ต้องสบตากับใคร ไม่ต้องเลย เราสามารถนั่งเฉยๆ มองอะไรไปเรื่อยๆ แล้วอยู่กับตัวเอง อย่างที่มีคนบอกว่าเราไม่กล้านั่งสมาธิ ไม่กล้าปฏิบัติธรรม เพราะมันทำให้เรากลับมาเห็นตัวเองซึ่งมีแต่ความทุกข์ทั้งนั้นเลย เพราะฉะนั้นเราแค่ต้องไม่กลัวความทุกข์ ไม่กลัวที่จะเจอกับตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นความทุกข์หรือความสุขก็ตาม

   พอไม่กลัวแล้ว สิ่งที่สำคัญอันดับต่อมาคือต้องรู้ลิมิตของตัวเอง ไม่ใช่ก๋ากั่นอยากไปไหนก็ได้ โดยเฉพาะผู้หญิงที่ตกเป็นเป้าหมายของมิจฉาชีพได้ง่าย บางทีฟ้ามืดก็รีบเข้าโรงแรมเถอะ เวลาเลือกที่พักก็ให้อยู่ในพื้นที่ปลอดภัย เราลงทุนกับตัวเองได้ จ๋าเลือกที่นั่งตั้งแต่บนเครื่องบิน ที่พักต้องหันหน้าไปทางไหน คือเป็นคนเรื่องมากก่อนออกเดินทางสุดๆ ทุกอย่างต้องปลอดภัยที่สุด ต้องดีที่สุดกับตัวเอง แต่พอเริ่มออกเดินทางจ๋าทิ้งทุกอย่างเลย เอาแค่ให้ตัวเองปลอดภัยก็พอ

 

 

Bye, Copenhagen ได้มาใช้ชีวิตอยู่ในเมืองที่ได้ชื่อว่าผู้คนแฮปปี้ที่สุดติดต่อกันมาหลายปี (ปีนี้นางพลาดพลั้งให้นอร์เวย์) เข้าใจคำว่าคุณภาพชีวิต อาหารการกิน ความเป็นอยู่ดี มีดีไซน์และศิลปะในการใช้ชีวิต ผู้คนไม่เหวี่ยงไม่หงุดหงิด แต่ก็ไม่ได้หัวเราะขำเป็นบ้า ตลกฮาตลอดเวลานะ ไม่ใช่เลย เค้าเข้าใจว่าความสุขคือความสบาย ไม่มากไปไม่น้อยไป ไม่เอาเปรียบกัน คนขับรถ คนเดินเท้า คนขี่จักรยานก็คอยระวังกัน สุขที่ดูแลกันไปไม่สร้างปัญหา… ขอบคุณเดนมาร์กที่ย้ำเตือนเราอีกครั้งว่า.. คนที่หัวเราะดังที่สุดอาจไม่ใช่คนที่สุขที่สุดเสมอไป… #YossieWanderlust #ทริปหอยทาก #YNLife

โพสต์ที่แชร์โดย Yossie Nanakorn (@yossiebistro) เมื่อ

 

คิดว่าบริการแบบไหน ที่เหมาะสมกับไลฟ์สไตล์คนชอบเดินทางท่องเที่ยวคนเดียวมากที่สุด    

   อาจจะไม่ต้องเจาะจงว่าเป็นไลฟ์สไตล์แบบไหนก็ได้นะ แต่จ๋าชอบการบริการที่รู้จังหวะ การบริการที่ไม่ใช่หุ่นยนต์ รู้ว่าตอนไหนที่เราไม่อยากให้เข้าไปยุ่งหรือเวลาไหนที่เราต้องการความช่วยเหลือ ทันทีที่เขาเข้าใจความต้องการของผู้โดยสาร ตอนนั้นการเดินทางจะเปลี่ยนเป็นมิตรภาพได้ เช่น การอำนวยความสะดวกสบายให้เราเมื่ออยู่ในสนามบิน ให้เรารู้สึกพิเศษ หรืออย่างบางทีดูหนังอยู่บนเครื่องบินแล้วร้องไห้ แอร์ฯ ก็ต้องปล่อยเราไว้คนเดียวบ้าง อย่าเพิ่งถามว่าอยากกินอะไร หรือเปลี่ยนจากคำถามเป็นหยิบกระดาษทิชชู่มาให้ ก็จะมีความหมายมากเลย การบริการที่ทรีตให้เรายูนีก เป็นตัวของเราตามสถานการณ์นั้นๆ มันน่าประทับใจมากเลยนะ

 

ถ้าให้จินตนาการได้เต็มที่ คุณอยากไปถ่ายละครหรือรายการโทรทัศน์ที่ประเทศไหนมากที่สุด และรูปแบบรายการหรือเนื้อหาของรายการนั้นอยากให้ออกมาเป็นแบบไหน

   เคยทำได้แล้วด้วยนะ สมัยเป็นนักเรียนภาพยนตร์ที่ LA ได้ฝึกงานในกองถ่ายหนังที่ใหญ่มาก มีรถอาหาร มีรถแต่งหน้า รถแต่งตัว ตอนนั้นจ๋ามีหน้าที่แค่โบกรถ กั้นรถ กั้นคน ซึ่งภาพนั้นมันประทับใจเรามาก คิดมาตลอดว่าจะมีวันไหนไหมที่เราสามารถมีกองถ่ายแบบนี้เป็นของตัวเอง

   จนวันที่ทำละครเรื่อง ทรายสีเพลิง จ๋ายืนยันเลยว่าจะต้องไปถ่ายที่อเมริกา เราติดต่อทีมงานทุกอย่างเรียบร้อย วันแรกที่เดินเข้ากอง เรามีทุกอย่างแบบที่เราเคยฝัน มีฟู้ดทรักที่นักแสดงกรี๊ดกร๊าด สามารถไปสั่งอาหารได้ฟรี มีรถแต่งหน้าแต่งตัว กองถ่ายใหญ่ ได้ปิดสะพานโกลเดน เกต แล้วเห็นคนที่ยืนโบกรถแบบเราในวันนั้น แล้วคิดว่าดีจังเลยที่เรามีโอกาสทำความฝันให้เป็นจริง

   สำหรับคนที่ต้องการพักผ่อน และออกเดินทางเพื่อสัมผัสประสบการณ์ใหม่ๆ แบบ จ๋า ยศสินี การท่องเที่ยวคนเดียวก็ถือเป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจ หากต้องการเพิ่มความสะดวกสบาย ลองใช้บริการ Red Carpet บริการใหม่จากแอร์เอเชีย เป็นตัวช่วยให้การเดินทางเป็นเรื่องง่าย กับสิทธิ์การพักผ่อนสบายพร้อมอาหารและเครื่องดื่มในห้องรับรองพิเศษ รวมถึงการเช็กอิน ขึ้นเครื่อง และรับกระเป๋าก่อนใคร เพื่อให้คุณได้สัมผัสประสบการณ์การเดินทางเหนือระดับ เริ่มต้นทริปสำคัญได้อย่างมั่นใจมากยิ่งขึ้น

   ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.airasia.com/th/th/at-the-airport/red-carpet.page

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising
X