×

อินโนเวสท์ เอกซ์ มองนโยบายเงินดิจิทัล 10,000 บาท มีต้นทุนการคลังสูง มีความยากในเชิงปฏิบัติ คาดอาจทำผ่านแอปเป๋าตัง

29.08.2023
  • LOADING...
อินโนเวสท์ เอกซ์

บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ ประเมิน 5 นโยบายเศรษฐกิจของพรรคเพื่อไทย ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจโตได้ 1% นโยบายเรือธงแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท วงเงิน 5.6 แสนล้านบาท มีต้นทุนทางการคลังที่สูงและมีความยากในเชิงปฏิบัติ 

 

ดร.ปิยศักดิ์ มานะสันต์ ฝ่ายวิจัยการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด เปิดเผยผ่านรายการ Morning Wealth ว่า นโยบายด้านเศรษฐกิจของพรรคเพื่อไทยที่เป็นแกนนำของรัฐบาลใหม่ที่เริ่มเข้ามาบริหารประเทศ มีเป้าหมายในการกระตุ้นเศรษฐกิจของไทยสะท้อนจากที่ เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ที่มาควบตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังด้วย โดยมีนโยบาย 5 ประเด็นสำคัญที่จะเป็นเรือธงในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ดังนี้

 

  1. การแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท
  2. การปรับขึ้นค่าแรงเป็น 600 บาท จากปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 354 บาท 
  3. ปรับขึ้นเงินเดือนผู้จบปริญญาตรีรวมถึงการปรับขึ้นเงินเดือนของข้าราชการ
  4. การพักหนี้และลดดอกเบี้ยให้กับกลุ่มเกษตรกรเป็นระยะเวลา 3 ปี
  5. การปรับลดราคาพลังงงาน

 

สำหรับนโยบายการกระตุ้นเศรษฐกิจ 5 ประเด็นดังกล่าวประเมินว่า จะช่วยกระตุ้นการขยายตัวของเศรษฐกิจให้ขยายตัวจากกรณีฐานได้ประมาณ 1% โดยมีนโยบายเรือธงหลักคือการแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท วงเงินประมาณ 5.6 แสนล้านบาท ซึ่งถือว่ามีต้นทุนทางการคลังคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 3% ของ GDP โดยจากการคำนวณด้วยโมเดลของฝ่ายวิจัยจะสนับสนุนให้ GDP ขยายตัวได้ประมาณ 0.7% 

 

อีกทั้งการแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท ถือเป็นนโยบายที่มีต้นทุนการคลังที่ค่อนข้างสูง ดังนั้นการใช้นโยบายนี้ต้องเป็นไปแบบมีประสิทธิภาพ เนื่องจากในปี 2567 อินโนเวสท์ เอกซ์ มีมุมมองว่าเศรษฐกิจของโลกจะเข้าสู่ภาวะถดถอยหรือชะลอตัวแบบรุนแรง เพราะเศรษฐกิจจีนและสหรัฐฯ มีความเสี่ยงที่จะเห็นการชะลอตัว

 

อย่างไรก็ดี มีความยากในเชิงการปฏิบัติของการแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท ใน 5 เรื่อง ดังนี้

 

  1. แหล่งเงินที่จะใช้ดำเนินนโยบายจะใช้แหล่งเงินจากงบประมาณส่วนใด โดยในส่วนแรกจะมาจากรายรับจากภาษีของรัฐบาลในปี 2567 ประมาณ 2.6 แสนล้านบาท ส่วนที่ 2 จะมาจากการจัดเก็บภาษีที่เพิ่มขึ้นอีกประมาณ 1 แสนล้านบาทจากนโยบายดังกล่าวนี้ 

 

ส่วนที่ 3 คือ การบริหารจัดการงบประมาณที่จะมาจากงบลงทุนประมาณ 1.1 แสนล้านบาท และส่วนที่ 4 จะมาจากการบริหารงบประมาณสวัสดิการที่ซ้ำซ้อนอีกประมาณ 9 หมื่นล้านบาท แต่ในทางปฏิบัติยังถูกตั้งคำถามว่าจะมีความเป็นไปได้มากหรือน้อยอย่างไร เพราะงบประมาณในปี 2567 จะสามารถเบิกจ่ายได้อย่างเร็วที่สุดคือในเดือนพฤษภาคม ปี 2567 

 

  1. ประสิทธิภาพของแพลตฟอร์มที่นำมาใช้ หากใช้บล็อกเชนจะสามารถรองรับการทำธุรกรรมพร้อมกันจำนวนมากๆ ได้หรือไม่

 

  1. การเปลี่ยนคูปองพร้อมใช้เป็นเงินสด หากทำได้เร็วก็จะช่วยให้การหมุนเงินได้เร็วยิ่งขึ้น

 

  1. การกำหนดรัศมีการใช้จ่าย

 

  1. กระบวนการใช้ของร้านค้าในทางปฏิบัติว่าจะใช้ง่ายมากหรือน้อยอย่างไร

 

ดังนั้นคาดการณ์ว่ามีโอกาสที่การดำเนินนโยบายการแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท จะกลับไปใช้แพลตฟอร์มแอปพลิเคชัน ‘เป๋าตัง’ ของธนาคารกรุงไทย ซึ่งน่าจะช่วยลดข้อจำกัดของระบบปัญหาการใช้งานได้

 

ส่วนการปรับขึ้นค่าแรงเป็น 600 บาทและเงินเดือนปริญญาตรี จะมีผลกระทบทั้งเชิงบวกและลบ เพราะแม้ช่วยเพิ่มกำลังซื้อ แต่ก็มีผลกระทบให้ต้นทุนของภาคธุรกิจปรับเพิ่มขึ้น ซึ่งผู้ประกอบการจะส่งผ่านต้นทุนไปยังผู้บริโภคและปรับราคาสินค้าขึ้นด้วย โดยรวมมาตรการปรับขึ้นค่าแรงจะสนับสนุน GDP ให้ขยายตัวประมาณ 0.2-0.3% 

 

อย่างไรก็ดี ประเมินว่านโยบายการปรับขึ้นค่าแรงจะไม่สามารถดำเนินการได้ในระยะสั้นหรือไปถึงช่วงครึ่งแรกของปี 2567 ได้ เนื่องจากหากเศรษฐกิจโลกมีปัญหาชะลอตัว ก็จะมีผลกระทบต่อภาคธุรกิจให้ต้นทุนเพิ่มสูงขึ้นด้วย

 

ขณะที่แนวโน้มค่าเงินบาทในปี 2566 คาดว่ามีแนวโน้มอ่อนค่าลงอยู่ที่ระดับ 34-35 บาท โดยกระแสเงินลงทุนต่างชาติ (Fund Flow) จะไหลกลับเข้ามาลงทุนในไทยหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับปัจจัยเศรษฐกิจโลกและความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติต่อนโยบายการกระตุ้นเศรษฐกิจไทยและการเมืองมีความนิ่ง

 

สำหรับไตรมาส 2/66 GDP ของไทย รายงานออกมาขยายตัว 1.8% ออกมาต่ำกว่าประมาณการของฝ่ายวิจัยที่ทำไว้ที่ 2.5% และต่ำกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ที่ระดับ 3.1% โดยมี 3 ประเด็นสำคัญที่เข้ากดดัน ดังนี้

 

  1. การใช้จ่ายภาครัฐที่หดตัวทั้งการบริโภคและการลงทุนที่หดตัว ซึ่งฉุดการขยายตัวเศรษฐกิจลงประมาณ 0.8% 

 

  1. ภาคการส่งออกสินค้าของไทยไตรมาส 2/66 ที่ยังหดตัวลงต่อเนื่องที่ระดับ 5.7% และภาคการท่องเที่ยวที่เติบโตชะลอลงเหลือ 54.6% 

 

  1. ภาคการผลิตสินค้าคงคลังในไตรมาส 2/66 ที่หดตัว 1.7% จากผลกระทบของกรณีที่เศรษฐกิจโลกชะลอตัว รวมถึงเศรษฐกิจในประเทศที่เติบโตชะลอตัว ส่งผลให้ผู้ผลิตมีการชะลอการผลิตสินค้า โดยกลุ่มหลักที่หดตัวคือ การผลิตข้าวเปลือก, คอมพิวเตอร์, ส่วนประกอบชิ้นไก่แช่แข็ง, ปิโตรเลียม และจักรยานยนต์
  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising