วันนี้ (11 กันยายน) เมื่อเวลา 08.19 น. เอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เข้าปฏิบัติหน้าที่ที่กระทรวงอุตสาหกรรม สักการะองค์พระนารายณ์ ไหว้ศาลพระภูมิ และกราบพระพุทธรูปประจำกระทรวงอุตสาหกรรม โดยมี สส. พรรครวมไทยสร้างชาติ และเจ้าหน้าที่กระทรวง ให้การต้อนรับ
ก่อนประชุมผู้บริหารกระทรวงและมอบนโยบาย เอกนัฏได้เข้าห้องทำงานและเขียนบันทึกเป็นคติสอนใจที่ใช้ในการทำงาน ใจความว่า วันแรกที่เข้ากระทรวงในฐานะรัฐมนตรี มาพร้อมกับเป้าหมาย ปฏิรูปอุตสาหกรรม เพื่อรับโอกาสที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของโลก, จะต่อสู้กับปัญหาขยะพิษที่ทำลายประชาชน ไม่อ่อนข้อให้กับผลประโยชน์ ไม่เกรงกลัวต่ออิทธิพล, เดินหน้าคืนน้ำสะอาดและอากาศบริสุทธิ์ให้กับเมืองไทย
จะปกป้องอุตสาหกรรมไทยที่ถูกเอาเปรียบโดยการบิดเบือนกลไกทางการค้า แก้กติกา และส่งเสริมให้ธุรกิจขนาดเล็กได้รับโอกาสอย่างเท่าเทียม, จะสร้างความร่วมมือ สร้างพันธมิตร มาร่วมกันสร้างอุตสาหกรรมที่สมบูรณ์แบบให้ทันกับเศรษฐกิจยุคใหม่ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ทันสมัย สะดวก โปร่งใส และจะทำทันที ทำทุกวินาที ไม่ยอมจนกว่าจะทำสำเร็จ
จากนั้นเอกนัฏให้สัมภาษณ์ถึงเป้าหมายในการทำงานว่า เมื่อได้ลงบันทึกคติในการทำงานของตัวเองแล้วจะทำทันที โดยในช่วงบ่ายจะลงพื้นที่ตรวจสอบสารเคมีรั่วไหลจากการลักลอบทิ้งของบริษัท วิน โพรเสส จำกัด ในพื้นที่จังหวัดระยอง
ขณะเดียวกันต้องทำให้ภาคอุตสาหกรรมไทยเข้มแข็ง เป็นกลไกสำคัญในการสร้างเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งถือเป็นภารกิจหลักที่ตัวเองคิดและจะทำให้สำเร็จในระหว่างรับตำแหน่ง แต่ทั้งนี้ต้องได้รับความร่วมมือจากทุกหน่วยงาน ขณะเดียวกันก็ต้องกำหนดเป้าหมายของกระทรวงให้ชัด
ดังนั้นตนจึงมีความคิดที่จะก่อตั้งกองทุนปฏิรูปอุตสาหกรรม ซึ่งจะรวบรวมกองทุนที่มีอยู่ในกระทรวงจำนวนมากและมีภารกิจหลากหลายที่ทับซ้อนกันอยู่มารวมเป็นกองทุนเดียว เพื่อให้มีภารกิจชัดเจน ตนจึงมองว่าควรใช้เงินจากกองทุนประกันกลุ่มนี้มาจ่ายเยียวยาให้กับชาวบ้านโดยทันที เพราะความเดือดร้อนชาวบ้านนั้นรอไม่ได้ และจะได้ไม่ต้องเอางบกลางที่เป็นภาษีของประชาชนมาจ่าย
นอกจากนี้จะเร่งแก้ระเบียบ กติกา กฎหมาย รื้อหลายประเด็น เพื่อให้ภารกิจบรรลุเป้าหมาย และรักษาอุตสาหกรรมไทย พร้อมเติมเต็มห่วงโซ่อุตสาหกรรมให้สมบูรณ์แบบ
ส่วนกรณีโรงงานเก็บสารเคมีวิน โพรเสส ที่ศาลมีคำพิพากษาสั่งชดใช้ให้กรมควบคุมมลพิษ 1.7 พันล้านบาท หลังทิ้งสารเคมีอันตรายลงไปในแหล่งน้ำและดินจนเกิดผลกระทบต่อธรรมชาติ เอกนัฏระบุว่า มีช่องโหว่ของกฎหมายที่มีคนคิดและหาผลประโยชน์ ซึ่งที่ผ่านมามีการปล่อยปละละเลย จึงต้องหยุดพฤติกรรมของกลุ่มคนเหล่านี้ด้วยการแก้กฎหมายและกติกา ซึ่ง พ.ร.บ.โรงงาน อยู่ระหว่างการทำประชาพิจารณ์ เพิ่มโทษของผู้ประกอบการกลุ่มสีเทา และระบุอำนาจการควบคุมให้ชัดเจน โดยเฉพาะการเสียค่าปรับหลักแสนแต่ได้กำไรจากธุรกิจหลักพันล้านบาท และเป็นปัญหาที่สะสมมาอย่างยาวนานนับ 20 ปี
ส่วนวันนี้ปัญหาที่เกิดขึ้นแล้ว ชาวบ้านจะต้องได้รับการเยียวยาอย่างรวดเร็ว โดยจะต้องเร่งผันน้ำ เนื่องจากเป็นช่วงฤดูฝน อาจทำให้สารพิษและสารเคมีไหลปะปนอยู่กับน้ำและส่งผลกระทบต่อชาวบ้าน ซึ่งตนจะลงพื้นที่ชุมชนและการเกษตร เพื่อหาแนวทางการเยียวยา และการลงพื้นที่ในครั้งนี้ตนถือเป็นการส่งสัญญาณให้ชัดว่าธุรกิจเหล่านี้จะเกิดขึ้นในประเทศไทยไม่ได้อีกแล้ว พร้อมยืนยันว่าตนมีโมเดลในการจัดการแล้ว
เอกนัฏระบุอีกว่า ตนจะปกป้องอุตสาหกรรมไทยที่ถูกบิดเบือนจากอุตสาหกรรมต่างชาติ โดยจะพูดคุยกับผู้บริหารกระทรวง และดำเนินการโดยทันที