คริสตาลินา จอร์เจียวา กรรมการผู้จัดการใหญ่กองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือ IMF เปิดเผยระหว่างการเข้าร่วมงานสัมมนาออนไลน์ ซึ่งจัดโดยมหาวิทยาลัย Bocconi ในอิตาลี ว่า IMF คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจโลกในปีนี้จะลดลงเล็กน้อยจากระดับ 6% ที่เคยคาดการณ์ไว้เมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา สืบเนื่องจากปัจจัยเสี่ยงรุมเร้า ทั้งปัญหาหนี้สาธารณะที่พุ่งสูง ความเสี่ยงเรื่องภาวะเงินเฟ้อที่ยืดเยื้อ และปัญหาการกระจายวัคซีนไม่ทั่วถึง ทำให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกเป็นไปได้อย่างจำกัด
จอร์เจียวาระบุว่า สถานการณ์โดยรวมของเศรษฐกิจโลกในขณะนี้กำลังฟื้นตัวกลับสู่ภาวะปกติ แต่เพราะการระบาดของไวรัสโควิดที่ยังไม่คลี่คลายและยุติลงอย่างเด็ดขาด ทำให้เศรษฐกิจโลกไม่อาจฟื้นตัวได้เต็มที่ และอุปสรรคที่สำคัญที่สุดที่จำกัดการฟื้นตัวก็คือ ‘ความแตกต่างด้านการกระจายวัคซีน’ ที่ทำให้หลายประเทศทั่วโลกยังไม่สามารถเข้าถึงวัคซีนโควิดได้อย่างทั่วถึง
ทั้งนี้ ในรายงานภาพรวมเศรษฐกิจโลกฉบับใหม่ที่จะเปิดเผยในสัปดาห์หน้า IMF คาดว่าผลผลิตรวมทางเศรษฐกิจของประเทศพัฒนาแล้วน่าจะกลับคืนสู่ระดับก่อนการระบาดได้ภายในปีหน้า ขณะที่ประเทศกำลังพัฒนาและประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่อาจต้องใช้เวลาอีกหลายปีในการฟื้นตัว
ขณะเดียวกัน ทางกรรมการผู้จัดการใหญ่ IMF ได้กล่าวอีกว่า สหรัฐฯ และจีนยังคงเป็นส่วนสำคัญในการผลักดันเศรษฐกิจโลก โดยมียุโรปและอิตาลีที่มีแนวโน้มที่ดีเช่นกัน ในขณะที่ส่วนอื่นๆ ของโลกยังคงเติบโตอย่างล่าช้า
นอกจากนี้ ปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ อย่างการเพิ่มขึ้นของอัตราเงินเฟ้อในหลายประเทศ อาจทำให้ธนาคารกลางของประเทศนั้นๆ ต้องขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อควบคุมเงินเฟ้อไว้ จนกระทบต่อแผนกระตุ้นเศรษฐกิจที่ต้องใช้เพื่อให้สามารถฟื้นตัวจากวิกฤตโควิดได้ และเสี่ยงทำให้มูลค่าสินทรัพย์บางอย่างเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ยิ่งไปกว่านั้น ปัญหาสัดส่วนหนี้ทั่วโลกซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ 100% ของมูลค่าผลผลิตมวลรวมของโลก ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่ต้องจับตามองอย่างใกล้ชิด
จอร์เจียวายังใช้โอกาสนี้เรียกร้องให้ประเทศร่ำรวยเพิ่มการจัดส่งวัคซีนให้แก่ประเทศกำลังพัฒนา ยกเลิกข้อจำกัดทางการค้าบางอย่าง และเร่งจัดหาเงินช่วยเหลือมูลค่า 2 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐให้แก่ประเทศยากจน เพื่อใช้ในการตรวจหาเชื้อและรักษาผู้ป่วยโควิด
ยิ่งไปกว่านั้น กรรมการผู้จัดการใหญ่ IMF ยังขอให้ประเทศต่างๆ ร่วมมือกันแก้ปัญหาภาวะโลกร้อน หันมาสนับสนุนภาคพลังงานสะอาด และสร้างเครือข่ายพลังงานไฟฟ้าแบบใหม่เพื่อลดมลพิษจากคาร์บอน โดยคาดว่าแนวทางดังกล่าวจะช่วยเพิ่ม GDP ของโลกได้ราว 2% ในทศวรรษนี้ และสร้างงานได้อีกราว 30 ล้านตำแหน่งทั่วโลก
ขณะเดียวกัน จอร์เจียวายังได้แสดงความเชื่อมั่นต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจในภูมิภาคยุโรป ที่แม้ว่าระดับหนี้สาธารณะของภูมิภาคจะอยู่ในระดับสูงจนน่าหวั่นใจ แต่การที่เศรษฐกิจโดยรวมยังสามารถเติบโตได้ รวมถึงมีนโยบายการคลังที่เป็นเอกภาพ ทำให้ยุโรปหลีกเลี่ยงวิกฤตหนี้ที่เคยเกิดขึ้นเมื่อช่วงปี 2007-2008 ได้
ในส่วนความเห็นเกี่ยวกับสกุลเงินดิจิทัล จอร์เจียวาแสดงจุดยืนสนับสนุนการจัดทำสกุลเงินดิจิทัลกลาง หรือ CBDC ซึ่งจัดทำโดยบรรดาธนาคารกลางของนานาประเทศทั่วโลก โดยเห็นว่าเป็นสกุลเงินดิจิทัลที่น่าเชื่อถือมากที่สุด ขณะที่สกุลเงินดิจิทัลอื่นๆ อย่าง Bitcoin จอร์เจียวาระบุชัดว่าไม่สามารถนึกภาพสินทรัพย์ดิจิทัลเหล่านี้ในฐานะตัวเงินได้เลย
อ้างอิง:
