×

พ่อแม่ชอบคุยเรื่องการเมืองให้ฟังจนเบื่อ จะทำอย่างไรดีครับ

26.02.2020
  • LOADING...

HIGHLIGHTS

3 Mins. Read
  • ถ้าเราจะเรียนรู้วิถีของประชาธิปไตย บทเรียนหนึ่งที่เราต้องเข้าใจและทำให้ได้คือ อยู่ร่วมกับคนที่เห็นต่างกับเราให้ได้ แม้ว่าคนนั้นจะเป็นคนบ้านเดียวกับเราก็ตาม เราต้องมองให้เห็นคนในมิติอื่นๆ ด้วยที่นอกไปจากการเมือง 
  • ถ้าเถียงกันเรื่องนี้กับพ่อแม่แล้วทะเลาะกันตายก็ไม่ต้องเถียงครับ เพราะเรารู้ว่าเถียงแล้วไม่มีประโยชน์ ถ้ารู้สึกว่าสถานการณ์ตรงนี้ไม่ได้อยู่บนพื้นที่ของการถกเถียงแลกเปลี่ยนแล้วการต่อยอดทางความรู้ได้ก็ไม่จำเป็น ถ้าจะคุยกันจริงๆ ก็คุยได้ครับ แต่เราต้องควบคุมตัวเองที่จะไม่ตัดสินเขา หรือไม่ลากไปสู่การทะเลาะกัน 
  • ถ้าไม่ไหวจะเคลียร์จริงๆ บอกท่านตรงๆ ก็ได้นะครับว่า อยากคุยเรื่องอื่นบ้าง ทำงานเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว ไม่อยากคุยเรื่องการเมือง เล่าให้ท่านฟังว่าวันนี้คุณไปเจออะไรมาบ้าง พาท่านออกไปเจอโลกข้างนอกผ่านเรื่องราวที่คุณได้เจอมาข้างนอก และเอามาเล่าให้ฟังสิครับ ท่านจะได้ไม่จมอยู่กับเรื่องการเมืองอย่างเดียว เครียดแล้วก็ไม่ดีต่อสุขภาพอีก

Q: ทำงานมาก็เหนื่อยแล้ว กลับบ้านมาเจอพ่อแม่คุยเรื่องการเมืองให้ฟังอีก ยิ่งฟังเหมือนได้รับพลังงานลบมาเยอะ แถมเราอยู่กันละคนขั้วของการเมืองด้วย พูดแล้วก็เดี๋ยวจะทะเลาะกันอีก จะทำอย่างไรดีครับ

 

A: เข้าใจได้ครับว่าทำงานเหนื่อยแล้วกลับมาบ้านก็คงอยากผ่อนคลาย ไม่อยากรับอะไรเพิ่มเติม แค่งานข้างนอกบ้านก็เอียนแล้ว ถ้ากลับมาเจอสิ่งที่ไม่อยากฟังอีก เป็นพลังงานลบอีก ก็คงเต็มกลืนเหมือนกัน 

 

ตามทฤษฎี (ย้ำว่าตามทฤษฎี) ถ้าเราเชื่อในระบอบประชาธิปไตย เราต้องเชื่อในการรับฟังความคิดเห็นที่แตกต่าง เคารพเสียงของคนอื่นแม้ว่าเขาจะคิดไม่เหมือนเรา (ตรงนี้เราคงไม่ต้องไปไกลขนาดว่า ถ้าอีกคนเชื่อในเผด็จการจะทำอย่างไรกันหรอกนะครับ ฮ่าๆ) สิ่งที่ผมจะบอกก็คือ ต่อให้เรามีมุมมองทางการเมืองแตกต่างกันแค่ไหนก็ตาม เรายังต้องมองเห็นคนที่คิดต่างจากเราเป็น ‘มนุษย์’ ให้ได้อยู่ ถ้าเราเอาการเมืองมาแบ่งแยกและทำลายความเป็นมนุษย์กัน มองเห็นคนอื่นไม่เป็นมนุษย์ หรือใช้ความคิดทางการเมืองมาตัดสินว่าใครมีคุณค่ามากกว่าใคร ไม่ว่าจะเป็นการแปะป้ายว่าใครเป็นสลิ่มหรือใครเป็นคนชังชาติก็แล้วแต่ ผมคิดว่าเราไม่ได้ใช้การเมืองอย่างเป็นประโยชน์แล้วครับ

 

ถ้าเราจะเรียนรู้วิถีของประชาธิปไตย บทเรียนหนึ่งที่เราต้องเข้าใจและทำให้ได้คือ อยู่ร่วมกับคนที่เห็นต่างกับเราให้ได้ แม้ว่าคนนั้นจะเป็นคนบ้านเดียวกับเราก็ตาม เราต้องมองให้เห็นคนในมิติอื่นๆ ด้วยที่นอกไปจากการเมือง การเมืองไม่ใช่ทั้งหมดทั้งมวลของตัวตนเขา และเราก็บังคับให้เขามาเป็นอย่างที่เราต้องการไม่ได้ทั้งหมดอยู่แล้ว เขาอาจจะคิดเรื่องการเมืองไม่เหมือนเรา แต่ผมคิดว่าเรามีพื้นที่อื่นๆ ที่อยู่ร่วมกันได้ 

 

เหมือนอย่างที่คุณบอกนั่นแหละครับว่า ถ้าเถียงกันเรื่องนี้กับพ่อแม่แล้วทะเลาะกันตายเลย ถ้าเถียงแล้วทะเลาะก็ไม่ต้องเถียงครับ เพราะเรารู้ว่าเถียงแล้วไม่มีประโยชน์ ถ้ารู้สึกว่าสถานการณ์ตรงนี้ไม่ได้อยู่บนพื้นที่ของการถกเถียงแลกเปลี่ยนแล้วการต่อยอดทางความรู้ได้ก็ไม่จำเป็น ถ้าจะคุยกันจริงๆ ก็คุยได้ครับ แต่เราต้องควบคุมตัวเองที่จะไม่ตัดสินเขา หรือไม่ลากไปสู่การทะเลาะกัน วันหนึ่งถ้าเราเกิดอยากรู้อยากเข้าใจเหตุผลของพ่อแม่จริงๆ เราก็อาจจะคุยกันได้ แต่ถ้ารู้สึกว่าไม่จำเป็นก็ไม่ต้องคุยกันบนเรื่องนี้ครับ

 

แม้เราจะมีความคิดเห็นทางการเมืองที่ต่างกัน แต่เรามีจุดร่วมกันอย่างหนึ่ง และเป็นอย่างที่สำคัญมากคือ เรารักกัน ในเมื่อเรารักกัน แปลว่าต่อให้จุดยืนทางการเมืองเราจะแตกต่างกันแค่ไหน เรากับพ่อแม่ยังเป็นทีมเดียวกันอยู่ในครอบครัวของเรา ถ้าเข้าใจสิ่งนี้ได้ ต่อให้เขาจะเชียร์ใคร พรรคไหน เราจะปล่อยเขา เขาก็เป็นแบบนั้นแหละ ไม่ถูกใจเราทั้งหมดหรอก (ซึ่งลูกอย่างเราก็ไม่ได้ทำอะไรถูกใจพ่อแม่ได้หมดเหมือนกัน เจ๊ากันแล้วเนอะ ฮ่าๆ) มองเห็นข้อดีของพ่อแม่ให้เจอที่มันใหญ่ไปกว่าความคิดทางการเมืองของท่าน เราจะปล่อยผ่านสิ่งที่ขัดใจเราไปได้เยอะครับ

 

ทีนี้ผมอยากลองชวนคุณมาดูมุมของพ่อแม่บ้างครับ ในมุมของพ่อแม่ ยิ่งถ้าคุณมีพ่อแม่วัยเกษียณที่อยู่บ้านทั้งวัน และกิจวัตรประจำวันของเขาคือการดูโทรทัศน์ การเสพข่าวสารเป็นสิ่งหนึ่งที่ทำให้เขายังรู้สึกว่าตัวเองเชื่อมโยงกับโลกได้อยู่ โลกของเขาอยู่แต่ในบ้าน อยู่กับจอโทรทัศน์หรือสื่อที่เขาเลือกเสพอย่างเดียว ไม่ได้มีสังคมใหม่ๆ วันๆ รอที่จะได้เจอลูกกลับบ้านมา เขาไม่ได้มีปฏิสัมพันธ์กับใครมากนักตลอดทั้งวัน พอเจอลูกเขาก็คงอยากมีคนคุยด้วย บังเอิญว่าเรื่องที่เขามีมันมาได้จากสื่อที่เขาเสพได้อย่างเดียว ในเมื่อเขาไม่ได้มีปฏิสัมพันธ์อะไรกับโลกอื่นๆ ก็เป็นไปได้ครับว่า เรื่องที่เขาจะคุยกับเรามันก็เลยมีแต่เรื่องที่เขาได้เห็นในโทรทัศน์ ซึ่งก็ต้องกลับไปดูอีกว่าสื่อที่คุณพ่อคุณแม่เลือกเสพนั้นนำเรื่องราวแบบไหนมาให้พ่อแม่ของคุณ ก็ดูได้จากเรื่องที่เขาเอามาเล่าให้คุณฟังต่อนั่นแหละครับ 

 

จากเคสของคุณ ท่านก็คงรับสื่อเกี่ยวกับการเมืองมาเยอะ รับมาแล้วก็อินกับมันมาก ซึ่งบางทีท่านก็อาจจะไม่รู้ตัวว่าท่านอินจริงจังขนาดนั้น เจ้าตัวอาจไม่รู้เพราะอยู่กับตัวเองทั้งวัน แต่คนอื่นคงเห็น แล้วตอนนี้บรรยากาศเรื่องการเมืองกำลังคุกรุ่น (จริงๆ มันก็คุมาตลอด กราฟไม่เคยตกเลยนะครับ ฮ่าๆ) แถมการเมืองก็เป็นเรื่องที่ส่งผลกระทบกับชีวิตเราทุกคนโดยตรงด้วย (ไม่ว่าจะชอบมันหรือไม่ สนใจหรือไม่สนใจก็เถอะ) เข้าใจได้หมดครับว่าพ่อแม่ของคุณจะอินกับเรื่องนี้ได้มาก อย่าว่าแต่พ่อแม่คุณเลยครับ ตอนนี้มองไปทางไหนจะคนรุ่นไหนก็อินเรื่องการเมืองกันหมด ทุกคนติดตามข่าวสารโดยเฉพาะข่าวสารจากด้านที่ตัวเองเลือกเสพ และที่สำคัญ ทุกคนมีความเห็นหมด 

 

ทีนี้เขาอยู่บ้านทั้งวัน โลกของเขาอยู่กับจอโทรทัศน์และสื่อที่เขาเลือกเสพอย่างเดียว ขณะที่เราอยู่นอกบ้าน โลกของเรามีอะไรเยอะแยะไปหมด พอเจอกัน เราอาจจะมีเรื่องจากโลกข้างนอกเยอะแยะเลยนะครับ แต่พ่อแม่เราโลกของเขาอาจจะมีแค่จากโทรทัศน์ที่เขาดู เพราะฉะนั้น ชีวิตเราก็จะต่างกัน มุมมองเราก็จะต่างกัน

 

ถ้าให้ผมแปล ผมคิดว่าท่านอยู่บ้านทั้งวันก็คงอยากมีอะไรคุยกับเรานี่แหละ บังเอิญว่าเรื่องที่เขาจะหยิบมาคุยได้นั้นมันน้อยลงแล้ว เพราะเขาไม่ได้ไปไหนเท่าไร เขาก็คุยแต่ในเรื่องที่ได้เห็นได้ฟังจากในโทรทัศน์ ซึ่งดันเป็นเรื่องการเมืองอีก ฮ่าๆ แต่ถ้ามองให้ดี เป็นไปได้ไหมครับว่าท่านจะเหงา หรือท่านก็อยากคุยกับคนอื่นบ้าง อยู่บ้านมาทั้งวัน ลูกกลับมาก็ชวนลูกคุย

 

ถ้าเรามองในมุมนี้บ้าง เราจะเข้าใจมากขึ้นว่าทำไมกลับบ้านมาพ่อแม่ถึงชวนเราคุยเรื่องการเมืองจังเลย โลกของเขาไม่เหมือนเรานะครับ เราต้องเข้าใจเขา

 

ทีนี้เราจะทำอย่างไรได้บ้าง เราทำได้ตั้งแต่พาพ่อแม่ไปเจอโลกอื่นๆ บ้าง แนะนำสื่ออื่นๆ ให้พ่อแม่รู้จักบ้าง แนะนำซีรีส์ดีๆ ให้พ่อแม่ดูแล้วให้เขาติด ต่อไปเขาอาจจะคุยกับคุณเรื่องซีรีส์แทนก็ได้ การติดซีรีส์อาจจะเยียวปัญหาครอบครัวได้ ฮ่าๆ พาพ่อแม่ไปทำรู้จักกิจกรรมอื่นๆ ที่พาเขาออกมาจากโลกการเมืองบ้างก็ดีครับ เอาจริงๆ มันทำให้เขาเครียดนะครับ เราก็คงอยากให้ท่านผ่อนคลายบ้าง พาท่านไปสู่สิ่งอื่นๆ ที่ให้พลังบวกบ้าง ท่านน่าจะมีความสุขขึ้น ผลพวงที่ตามมาคือท่านก็จะแผ่พลังลบมาหาเราได้น้อยลง

 

ถ้าพ่อแม่จะชวนคุยเรื่องการเมืองซึ่งเราไม่อยู่ในโหมดที่เราอยากจะฟังเท่าไร เรานิ่งๆ ไม่ต่อบทสนทนาเรื่องการเมืองให้ยืดยาว เดี๋ยวเขาก็ไม่มีอะไรจะคุยเรื่องนี้ได้ต่อเอง เราเป็นฝ่ายเปิดบทสนทนาบนเรื่องที่เรามีส่วนร่วมกันและกันได้ไปเลยครับ ชวนคุยเรื่องที่ทั้งเราและเขาจะมีความสุขไป ไม่ต้องแวะไปเรื่องการเมืองก็ได้

 

ถ้าไม่ไหวจะเคลียร์จริงๆ บอกท่านตรงๆ ก็ได้นะครับว่า อยากคุยเรื่องอื่นบ้าง ทำงานเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว ไม่อยากคุยเรื่องการเมือง เล่าให้ท่านฟังว่าวันนี้คุณไปเจออะไรมาบ้าง พาท่านออกไปเจอโลกข้างนอกผ่านเรื่องราวที่คุณได้เจอมาข้างนอก และเอามาเล่าให้ฟังสิครับ ท่านจะได้ไม่จมอยู่กับเรื่องการเมืองอย่างเดียว เครียดแล้วก็ไม่ดีต่อสุขภาพอีก บอกในฐานะที่เราเป็นห่วงท่าน

 

เอาจริงๆ ผมว่า พ่อแม่เสพสื่อเรื่องการเมืองมากๆ ท่านคงเครียดมากแล้ว เป็นไปได้ไหมครับว่าคุณกลับมาแล้วคุณจะเป็นฝ่ายเติมพลังบวกให้ท่านแทน คุณเอาความสดใสกลับมาที่บ้าน คุณเอาเรื่องราวที่ท่านฟังแล้วมีความสุขมาเล่าให้ท่านฟัง คุณทำให้บรรยากาศในบ้านมีเสียงหัวเราะมีรอยยิ้มได้ ถ้าทำแบบนี้ได้ ผมคิดว่าท่านก็คงมีความสุขและคุณก็มีความสุขไปด้วยเช่นกัน

 

อย่างที่บอกครับ เวลามองพ่อแม่ เรามองเห็นคนที่ยืนอยู่คนละด้านเพราะความคิดทางการเมืองต่างกัน หรือเรามองเห็นคนที่อยู่ทีมเดียวกันเพราะเรารักกัน 

 

มองให้เห็นความรักแล้วเราจะอยู่ร่วมกันได้ครับ  

 

ส่งคำถามดราม่าในที่ทำงานที่คุณสงสัยมาได้ที่อีเมล [email protected] หรืออินบ็อกซ์มาที่ Facebook: ท้อฟฟี่ แบรดชอว์ (Facebook.com/Toffybradshawwriter) 

 

 

พิสูจน์อักษร: ลักษณ์นารา พักตร์เพียงจันทร์

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising