การเติบโตรอบใหญ่ของหุ้น บมจ.อินทัช โฮลดิ้งส์ (INTUCH) เคยเกิดขึ้นระหว่างปี 2552-2556 จากราคาในระดับประมาณ 16 บาท วิ่งขึ้นไปทำสถิติสูงสุดตลอดกาล (All Time High) ที่ 99.75 บาท ก่อนที่ราคาจะค่อยๆ ไหลลงมาซื้อขายอยู่ในกรอบประมาณ 50-60 บาท พร้อมกับการหยุดเติบโตของกำไรสุทธิซึ่งทรงตัวอยู่บริเวณ 1.1 หมื่นล้านบาท มาตลอดหลายปีก่อนหน้านี้
ล่าสุดดูเหมือนว่าภาพของ INTUCH กำลังจะเปลี่ยนไป หรืออย่างน้อยคือถูกคาดหวังว่าจะเปลี่ยนไปจากการเปลี่ยนโครงสร้างผู้ถือหุ้นใหญ่ หลัง บมจ.กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ (GULF) เข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในสัดส่วน 42.4% พร้อมกับความคาดหวังว่าเราคงจะได้เห็นการต่อยอดในเชิงธุรกิจอะไรบางอย่าง ซึ่งจะช่วยให้ INTUCH เข้าโหมดของการเติบโตได้อีกครั้ง
ในมุมของ ปฏิภาค นวาวัตน์ นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กรุงศรี มองว่า INTUCH ภายใต้การเข้ามาของ GULF จะมีบทบาทในฐานะหน่วยธุรกิจด้าน Digital Infrastructure ซึ่งจะแบ่งเป็น 2 กลยุทธ์หลัก คือ Short-term และ Long-term
ในส่วนของ Short-term จะมุ่งไปที่การพิจารณาว่า INTUCH และบริษัทลูกอย่าง ADVANC และ THCOM จะสามารถจ่ายปันผลได้มากขึ้นหรือไม่จากปัจจุบัน และอีกส่วนหนึ่งคือการพยายามใช้ประโยชน์จากสินทรัพย์ในมือให้ได้มากขึ้น โดยเฉพาะในส่วนของ ADVANC
สำหรับ Long-term จะเป็นการทำให้เกิด Synergy ทางธุรกิจ ซึ่งจะเกี่ยวเนื่องกับการเปิดเสรีไฟฟ้าผ่านเทคโนโลยี Smart Grid รวมทั้งการขยายธุรกิจ Data Center เดิมทีฐานลูกค้าของ GULF จะเป็นนิติบุคคล ในขณะที่ INTUCH จะมีฐานลูกค้ารายย่อยผ่าน ADVANC กว่า 40 ล้านราย
“ภาพ Long-term ของ INTUCH หลังการเข้ามาของ GULF ค่อนข้างจะชัด แต่กลยุทธ์ Short-term อาจเป็นเพียงแค่ปัจจัยกระตุ้นได้ในระยะสั้นๆ เท่านั้น โดยเฉพาะในเรื่องของการเพิ่มอัตราเงินปันผล”
คาดหวังอัตราเงินปันผลที่สูงขึ้น
ปัจจุบันอัตราปันผลของ ADVANC ซึ่งส่งต่อมายัง INTUCH อยู่ที่ 75% ของกำไรสุทธิ ในส่วนนี้มีโอกาสจะเพิ่มขึ้นเป็น 100% เพราะการลงทุน 5G ในขณะนี้น่าจะยังไม่ได้เร่งมากนัก และ ADVANC ยังมีกระแสเงินสดในมือเหลืออยู่พอสมควร
“ตั้งแต่ครึ่งปีหลังของปีนี้น่าจะเห็น ADVANC จ่ายปันผลเพิ่มขึ้นเป็น 100% ของกำไรสุทธิ จากก่อนหน้านี้ที่ตลาดประเมินกันไว้ว่า ADVANC จะจ่ายปันผลปีนี้แค่ 75% การจ่ายปันผลที่มากขึ้นทำให้อัตราเงินปันผลของ INTUCH ในปีนี้จะเพิ่มเป็น 4.1% อิงจากราคาปิดที่ 66 บาท และปีหน้าจะเพิ่มเป็น 5.1% จากเดิมที่มองไว้แค่ 3.5%”
จับตา! แผนการจัดการกับสินทรัพย์
ประเด็นสำคัญที่ต้องติดตามคือ เรื่องการขายสินทรัพย์อย่าง ‘เสาโทรคมนาคม’ ของ ADVANC ซึ่งจะคล้ายกับกรณีของ TRUE ซึ่งต้องกองทุน Infrastructure Fund และขายสินทรัพย์เข้ากองทุน
“ประเด็นนี้อาจจะยังไม่เกิดขึ้นเร็วมาก แต่ประเด็นที่น่าสนใจคือ หาก ADVANC ตัดสินใจตั้ง Infra Fund อาจไม่ได้เป็นผลดีในระยะยาว เพราะการตั้ง Infra Fund เป็นเหมือนทางเลือกระดมทุนอีกทางหนึ่ง (Alternative Funding) เมื่อเทียบระหว่างอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ของ ADVANC ที่ 3% กับการขายสินทรัพย์เข้ากองทุนที่อาจต้องให้ผลตอบแทน 7-8% เพื่อจูงใจให้นักลงทุนมาซื้อ ดูแล้วอาจจะไม่คุ้มในระยะยาว”
อีกทางเลือกหนึ่งคือสิ่งที่เรียกว่า Tower Co ซึ่งมองว่าเป็นทางเลือกที่น่าสนใจกว่า หลักการของ Tower Co คือ จะมีตัวกลาง 1 ราย อาจเป็นใครก็ได้ที่มาทำหน้าที่ซื้อเสาโทรคมนาคมจากผู้ให้บริการทั้ง 3 บริษัทในตลาด หลังจากนั้นตัวกลางจะทำหน้าที่ในการลงทุนขยายเสาเพื่อแต่ละบริษัทเช่า ซึ่งจะทำให้บริษัทประหยัดเงินลงทุนในการสร้างเสาไปได้ค่อนข้างมาก สำหรับโมเดลนี้เป็นสิ่งที่ใช้ในหลายประเทศ แต่ยังไม่เกิดขึ้นในไทย
ราคาหุ้นแพงไปหรือยัง
ในเชิง Valuation ของ INTUCH หลังจากวิ่งขึ้นมาในระดับ นักวิเคราะห์จาก บล.กรุงศรี มองว่าค่อนข้างเต็มมูลค่าแล้ว โดยปีนี้ให้ราคาเหมาะสมที่ 67.5 บาท
“สำหรับนักลงทุนที่สนใจ มองว่าการสลับไปเลือก ADVANC เป็นสิ่งที่น่าสนใจกว่า เพราะต้องยอมรับว่า INTUCH ในฐานะ Holding Company ไม่ได้มีสินทรัพย์ใดๆ ในมือเลย เพราะฉะนั้น การจะสร้างมูลค่าเพิ่มเติมให้บริษัท ก็ต้องไปสร้างที่ ADVANC ซึ่งจะได้ประโยชน์โดยตรง”
ด้าน สุวัฒน์ วัฒนพรพรหม ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บล.เอเซีย พลัส เปิดเผยว่า หลังเข้าซื้อ INTUCH แล้ว GULF จะเข้าไปมีบทบาทต่อการบริหารงานมากขึ้น โดยมีโควตาคณะกรรมการบริษัท 4 จาก 10 คน
ทั้งนี้ GULF กำหนดธุรกิจ INTUCH เป็นหนึ่งในธุรกิจหลักโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล ร่วมกับธุรกิจโครงสร้างพื้นฐานพลังงาน และธุรกิจโครงสร้างพื้นฐานโลจิสติกส์ โดย INTUCH จะมีบทบาทสำคัญในระบบดิจิทัลต่อธุรกิจในระยะยาว เช่น รองรับโครงการขายไฟฟ้าเสรีในธุรกิจพลังงาน การต่อยอดธุรกิจ Energy Storage รวมถึงระบบท่าเรืออัตโนมัติในธุรกิจโลจิสติกส์ ซึ่งอิงเทคโนโลยีคมนาคมแห่งอนาคตของกลุ่ม เช่น 5G ของ ADVANC และดาวเทียมวงโคจรต่ำของ THCOM
