นักโบราณคดีได้ค้นพบฟอสซิลกระดูกของเด็กผู้หญิง ซึ่งแสดงลักษณะของการผสมกันระหว่างมนุษย์โบราณสายพันธุ์นีแอนเดอร์ทัล (Neanderthal) กับสายพันธุ์เดนิโซแวน (Denisovan) การค้นพบครั้งนี้ถึงขั้นที่เราจำต้องเขียนประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติกันใหม่
ผลจากการวิเคราะห์ดีเอ็นเอของกระดูกเด็กผู้หญิงคนดังกล่าว ซึ่งได้จากการขุดค้นที่ถ้ำเดนิโซวาในไซบีเรีย ได้เผยว่าเด็กผู้หญิงคนนี้เป็นลูกผสม โดยมีแม่เป็นมนุษย์นีแอนเดอร์ทัล และมีพ่อเป็นมนุษน์เดนิโซแวน โดยเด็กผู้หญิงคนนี้เป็นวัยรุ่นและเสียชีวิตเมื่ออายุได้เพียง 13 ปีเท่านั้น
มนุษย์นีแอนเดอร์ทัลจัดเป็นมนุษย์สายพันธุ์โบราณ (Archaic Humans) เคยอาศัยอยู่ในเขตทวีปยูเรเชีย หรือทั้งในยุโรปและเอเชีย โดยสูญพันธุ์ไปเมื่อ 4 หมื่นปีที่แล้ว ซึ่งสาเหตุของการสูญพันธุ์ยังคงเป็นปริศนากันอยู่ บ้างเชื่อว่าเป็นเพราะการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศอย่างรวดเร็ว ทำให้ไม่สามารถปรับตัวกับสิ่งแวดล้อมใหม่ได้
ส่วนมนุษย์เดนิโซแวนจัดอยู่ในกลุ่มมนุษย์สายพันธุ์โบราณ (Archaic Humans) เช่นกัน ค้นพบครั้งแรกที่ถ้ำเดนิโซวา เทือกเขาอัลไต ในไซบีเรีย เมื่อปี 2010 ซึ่งชิ้นส่วนกระดูกของเด็กผู้หญิงที่เป็นลูกผสมตามข่าวได้มาจากการขุดค้นถ้ำดังกล่าวนี้นั่นเอง นักโบราณคดีชาวรัสเซียได้ตั้งชื่อทะเบียนชิ้นส่วนกระดูกของเธอว่า ‘Denisova 11’ ในปี 2012 หลังจากนั้นจึงส่งต่อให้ทีมนักมานุษยวิทยาเยอรมนีเพื่อนำกระดูกของเธอไปวิเคราะห์ด้านพันธุกรรมต่อ
ในลำดับสายวิวัฒนาการของมนุษย์ถือว่ามีมนุษย์อยู่ 4 สายพันธุ์หลัก ได้แก่ มนุษย์โฮโมเซเปียนส์, มนุษย์โฮโมนีแอนเดอร์ทัล, มนุษย์โฮโมฟลอเรซิเอนซิส และมนุษย์เดนิโซแวน โฮมินินส์ ที่จัดอยู่ในลำดับชั้นทางวิวัฒนาการใกล้เคียงกัน แต่มีเพียงมนุษย์สายพันธุ์โฮโมเซเปียนส์เท่านั้นที่ยังดำรงอยู่ในปัจจุบัน ที่เหลือที่เป็นสายพันธุ์แท้ได้สูญพันธุ์ไปแล้ว แต่การค้นพบนี้อาจทำให้ต้องทบทวนความรู้เกี่ยวกับวิวัฒนาการของมนุษย์กันใหม่
จากบทสัมภาษณ์ในหนังสือพิมพ์ The Independent ดร.วิเวียน สโลน หนึ่งในผู้วิจัยที่นำไปสู่การค้นพบครั้งนี้ได้กล่าวว่า “ผมไม่เคยเชื่อมาก่อนว่าพวกเราจะโชคดีอย่างนี้ที่ได้ค้นพบเด็กที่เป็นเชื้อสายของมนุษย์ทั้งสองกลุ่มนี้” โดยผลจากการวิเคราะห์ด้านจีโนม (Genome) เปิดเผยว่าพ่อของเด็กผู้หญิงคนนี้ซึ่งเป็นมนุษย์เดนิโซแวนยังมีบรรพบุรุษเป็นมนุษย์นีแอนเดอร์ทัล และยังสามารถสืบย้อนกลับไปได้อีกหลายชั่วคน ดังนั้นหมายความว่าครอบครัวนี้มีการผสมข้ามสายพันธุ์ระหว่างมนุษย์ทั้งสองกลุ่มกันมานานมากแล้ว
ศาสตราจารย์คริส สตริงเกอร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านมนุษย์โบราณ หนึ่งในทีมวิจัย ได้กล่าวว่าการผสมข้ามสายพันธุ์ระหว่างมนุษย์ทั้งสองกลุ่มไม่ได้เป็นเหตุการณ์แบบ ‘ไม่ปกติ’ หรือมีโอกาสเกิดขึ้นน้อยมาก หากแต่คงเกิดขึ้นมานานแล้วเมื่อคนทั้งสองกลุ่มได้ติดต่อกันภายใต้สถานการณ์อย่างใดอย่างหนึ่งที่ทำให้ทั้งสองกลุ่มเกิดการแต่งงานกัน
นอกจากนี้หนังสือพิมพ์ The Independent ยังได้สัมภาษณ์ศาสตราจารย์มาร์ค โทมัส ผู้เชี่ยวชาญด้านวิวัฒนาการทางพันธุกรรม มหาวิทยาลัยคอลเลจลอนดอน ซึ่งได้ให้ความเห็นต่อการค้นพบครั้งนี้ว่าการผสมข้ามสายพันธุ์ระหว่างมนุษย์สองสายพันธุ์นี้ถือได้ว่าเป็นเรื่องปกติที่เรายังสามารถเห็นได้ในมนุษย์ปัจจุบันที่มีการแต่งงานข้ามเชื้อชาติ ซึ่งสามารถเห็นร่องรอยได้ผ่านดีเอ็นเอ
ความจริงแล้วหลักฐานด้านดีเอ็นเอของมนุษย์โบราณที่เดิมเชื่อว่าสูญพันธุ์กันไปแล้วนั้น ปัจจุบันได้มีการค้นคว้ากันอย่างต่อเนื่องและพบว่าพวกเขาได้ทิ้งร่องรอยให้สืบค้นผ่านดีเอ็นเอจากคนในปัจจุบัน ตัวอย่างเช่น คนที่อาศัยอยู่ที่เกาะปาปัวนิวกินี ปัจจุบันนี้ได้สันนิษฐานกันว่าพวกเขามีดีเอ็นเอของมนุษย์เดนิโซแวนถึง 5% หรืออีกกรณีที่น่าตื่นเต้นไม่แพ้กันคือได้ค้นพบว่าโครงกระดูกมนุษย์โฮโมเซเปียนส์ยุคต้นในโรมาเนียมีเชื้อสายของมนุษย์นีแอนเดอร์ทัลอยู่ด้วย โดยมีปริมาณดีเอ็นเออยู่ระหว่าง 6-9% แม้จะมีจำนวนน้อย แต่ก็ทำให้เห็นว่ามนุษย์สองสายพันธุ์นี้เคยแต่งงานกัน
ผมเชื่อว่าในอนาคตเมื่อมีการค้นคว้าเรื่องดีเอ็นเอและการค้นพบโครงกระดูกมนุษย์โบราณมากขึ้น จะทำให้เราเข้าใจได้ว่าเพราะเหตุใดคนเอเชีย คนยุโรป คนแอฟริกัน หรืออื่นๆ จึงได้มีรูปร่างหน้าตาแตกต่างกัน แต่การค้นคว้านี้ก็ไม่ได้ต้องการใช้เพื่อยืนยันความแตกต่างของเชื้อสายแบบพวก Racist แต่เพื่อเข้าใจว่ามนุษย์ต่างมีปฏิสัมพันธ์และวิวัฒนาการร่วมกันอย่างไร ซึ่งถือเป็นความรู้ร่วมกันของมนุษยชาติ
ภาพ: Thomas Higham / University of Oxford
พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์
อ้างอิง:
- Josh Gabbatiss. “Remains of Hybrid Human Girl with Neanderthal mother discovered in Siberia cave”, in Independent Online. Available at: www.independent.co.uk/news/science/neanderthal-denisovan-human-hybrid-girl-cave-discovery-ancient-humans-russia-siberia-a8503616.html [Accessed on 23/8/18]