ในที่สุดรัฐบาลไทยก็ประกาศใช้ ‘บาซูก้า’ การคลังออกมา โดยจะออก พ.ร.ก. กู้เงินถึง 1 ล้านล้านบาท พร้อมกับมาตรการทางการเงินของธนาคารแห่งประเทศไทย เพื่อช่วยเหลือ SMEs และตลาดหุ้นกู้
แต่เราจะดูอย่างไรว่ามาตรการการคลังที่ออกมานี้ ‘ใช่’ หรือ ‘ไม่ใช่’ บาซูก้าที่ดีควรจะมีลักษณะอย่างไร
ในความเห็นส่วนตัว ผมคิดว่าบาซูก้าที่ดีต้องมี 5T คือ ยึดหลัก 5 ข้อ ที่ขึ้นต้นด้วยตัว ‘T’ ทั้งหมด
นักเรียนเศรษฐศาสตร์จะคุ้นกันกับหลัก 3T สำหรับนโยบายกระตุ้นทางการคลัง คือ Targeted (ถูกเป้า), Timely (ถูกเวลา) และ Temporary (ใช้ชั่วคราว)
แต่ในยามที่สถานการณ์เป็นเสมือนการออกสงครามครั้งใหญ่อย่างในปัจจุบัน เราอาจต้องเติมอีก 2 ตัวคือ Titanic (แปลว่าใหญ่มหาศาล ไม่ใช่ชื่อเรือใหญ่แต่ล่มนะครับ) และ Transparent (โปร่งใส)
Titanic คือต้องใหญ่พอ
เพราะวิกฤตเศรษฐกิจโควิด-19 น่าจะทั้ง ‘ลึก’ และ ‘ยาว’
การช่วยเหลือเยียวยาจากรัฐบาลจึงต้องมีกระสุนมากพอ ซึ่งประเด็นนี้ผมได้อธิบายไปพอสมควรแล้วในบทความก่อน (อ่าน https://www.the101.world/fiscal-bazooka/)
Transparent ต้องโปร่งใส
แต่อำนาจย่อมต้องมาคู่กับความรับผิดชอบ
ยิ่ง ‘ปืน’ ที่ใช้ยิ่งใหญ่ ก็ยิ่งต้องมีความโปร่งใสในการใช้เม็ดเงินเปิดเผยให้ประชาชนรู้ โดยควรมีเพจศูนย์กลางที่รวบรวมและอัปเดตข้อมูลให้ประชาชนว่าแต่ละมาตรการกระตุ้นตั้งแต่ชุด 1-3 ที่ออกมา ดำเนินการไปถึงไหนแล้ว และได้ผลอย่างไรบ้าง
การมีช่องทางออนไลน์กลางเช่นนี้ไม่ได้มีเพื่อจะตรวจสอบการใช้เงินของรัฐบาลเท่านั้น แต่ยังมีประโยชน์ในการสื่อสารให้คนเข้าใจถึงความคืบหน้าของโครงการต่างๆ ทั้งยังจะช่วยเป็น ‘หน้าต่าง’ รับฟังเสียงตอบรับของประชาชนด้วยว่ามาตรการต่างๆ ‘เข้าเป้า’ หรือไม่อย่างไร จะได้คอยปรับปรุง คอยต่อเติมมาตรการต่างๆ ไปตามสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ
แต่นั่นไม่ได้แปลว่า T อีก 3 ตัว สำคัญน้อยกว่านะครับ
ความจริงแล้วในระยะต่อไปนี้ การใช้บาซูก้ายิงให้ทัน (Timely) ท่วงทีและตรงเป้า (Targeted) จะเป็นหัวใจสำคัญว่ามาตรการนี้ประสบความสำเร็จหรือไม่
Timely ต้องทันท่วงที
ทางรัฐบาลอาจจะต้องการให้มาตรการช่วยเหลือลงไปที่กลุ่มคนที่ต้องการจริงๆ บวกกับอาจจะอยากเก็บข้อมูลของคนที่มาขอความช่วยเหลือ อย่างเช่น ในกรณีแจก 5,000 บาท ให้แรงงานนอกระบบฯ จึงให้มีการลงทะเบียนเข้าระบบ ก่อนจะถูกคัดเลือกให้ได้รับการเยียวยา
แต่ความท้าทายก็คือ การตั้งเงื่อนไขต่างๆ เหล่านี้สร้างภาระกับผู้คนที่ต้องการความช่วยเหลือ และทำให้การเยียวยาช้าลง (และเสี่ยงต่อการตกหล่นด้วย) ในวันที่เรากำลังแข่งกับเวลา เพราะทุกวัน คนและธุรกิจเหมือน ‘จมน้ำ’ กำลังตะเกียกตะกายลอยตัวให้ไม่ขาดอากาศ
หนทางแก้ไขหนึ่งก็คือ ก่อนจะใช้มาตรการแบบช่วยเหลือเฉพาะกลุ่มในลักษณะที่ว่านี้ (Targeted Measures) อาจต้องใช้มาตรการความช่วยเหลือแบบยิงเป็นวงกว้าง ‘ปูพรม’ ไปก่อน เช่น การแจกเงินสนับสนุนให้ทุกครัวเรือนก่อนในจำนวนไม่ต้องมาก เมื่อปูพรมด้วยมาตรการเช่นนี้แล้ว จึงเสริมด้วยนโยบายแบบเฉพาะเจาะจงให้คนบางกลุ่มที่อาจใช้เวลาในการปฏิบัติอีกที ซึ่งนี่เป็นแนวทางที่มีหลายประเทศใช้กัน
Targeted ต้องถูกเป้าหมาย
ต้องยอมรับว่า รอบนี้ทุกคนถูกกระทบหมด แต่น่าจะมีกลุ่มที่ต้องได้รับการช่วยเหลือเป็นพิเศษ ดังนี้
- สาธารณสุข ทัพหน้าของเราต้องพร้อมทั้งกำลังคน อุปกรณ์ สถานที่เพื่อการตรวจ (Test) แกะรอย (Trace) แยกตัว (Isolate) รักษา พักฟื้น ยิ่งเอาไวรัสอยู่เร็ว ยิ่งกดปุ่มเปิดเครื่องเศรษฐกิจได้เร็วขึ้น
- ผู้ที่มีสายป่านสั้น เช่น SMEs แรงงานนอกระบบ โดยเฉพาะพวกหาเช้ากินค่ำ ครัวเรือนรายได้น้อย เพื่อให้เขาไม่ต้องออกมาทำงานจนเสี่ยงการติดเชื้อ
- ลูกจ้าง ปัจจุบันมีการช่วยเหลือคนถูกเลิกจ้าง แต่สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าคือ การให้แรงจูงใจบริษัทต่างๆ ไม่ให้เลิกจ้างคนงาน เพราะเมื่อคนงานถูกเลิกจ้างไปแล้ว อาจจะกลับมาทำงานใหม่ไม่ได้ง่ายๆ แม้ในวันที่เศรษฐกิจฟื้นแล้ว
ผมยังคงความเห็นเดิมว่า รัฐบาลอาจควรพิจารณาใช้นโยบายช่วยชดเชยค่าจ้างพนักงานให้บริษัทแบบที่อังกฤษและสิงคโปร์ทำ โดยมีข้อแม้ให้ไม่ไล่คนออกหรือลดเงินเดือนเกินกว่า x% เทียบกับก่อนโควิด-19
- การช่วยธุรกิจใหญ่หน่อย รัฐบาลอาจควรตั้งเงื่อนไขเพื่อสร้างให้เกิด ‘ห่วงโซ่แห่งการเยียวยา’ หรือการส่งความช่วยเหลือต่อเป็นทอดๆ (คล้ายแนวคิดห่วงโซ่การผลิต) ไม่หยุดอยู่ที่แค่คนแรกที่ได้รับประโยชน์จากรัฐบาลโดยตรง
ยกตัวอย่างเช่น หากช่วยภาคอสังหาริมทรัพย์/เจ้าของที่ อาจมีเงื่อนไขว่า ให้บริษัทนั้นต้องลด/งดค่าเช่าชั่วคราวให้ผู้เช่าด้วย หากช่วยสถาบันก็ต้องส่งผ่านดอกเบี้ยที่ถูกลง หรือการพักชำระหนี้ให้ลูกหนี้ด้วย
Temporary ต้องชั่วคราวเท่านั้น
สุดท้ายต้องไม่ลืมว่า นโยบายบาซูก้าการคลังควรใช้เฉพาะ ‘ยามสงคราม’ เท่านั้น เมื่อวิกฤตโควิด-19 จบ ต้องอย่าลืมเอา ‘ไปเก็บ’ ด้วย เพราะนโยบายบาซูก้าไม่ใช่แนวทางแก้ปัญหาเศรษฐกิจระยะยาว และไม่ควรหยิบมาใช้บ่อยๆ ใน ‘ศึกเล็กๆ’ ด้วย
ในโลกที่มีความไม่แน่นอนสูงขึ้น วิกฤตโควิด-19 อาจไม่ใช่เป็นสงครามใหญ่ศึกเดียวในช่วงชีวิตที่แต่ละคนต้องเผชิญ
วันนี้เรายืม ‘กระสุนการคลัง’ จากอนาคตมาใช้
เมื่อสงครามจบ ก็ควรเริ่มเก็บสะสมกระสุนเข้าคลังใหม่ เพื่อให้คนรุ่นลูกหลานมีใช้ในศึกใหญ่ที่เขาจะต้องเผชิญ
หมายเหตุ: ทั้งหมดเป็นความเห็นส่วนตัว มาพยายามช่วยๆ กันระดมสมอง คิดหาทางออกกันนะครับ
พิสูจน์อักษร: ภาวิกา ขันติศรีสกุล