จากการสำรวจของ LinkedIn และ YouGov ที่เก็บข้อมูลจากพนักงาน LGBTQIA+ จำนวน 2,000 คนในสหรัฐอเมริกา พบว่าวัฒนธรรมในที่ทำงานที่มีพื้นที่ว่างให้กับอัตลักษณ์ทางเพศ และการแสดงออกของพวกเขานั้นส่งผลกับการเลือกที่จะทำงานที่นี่ต่อ หรือเลือกที่จะลาออก
75% ผู้ตอบแบบสอบถามกล่าวว่า การได้ทำงานในบริษัทที่พวกเขารู้สึกสบายใจในการแสดงออกนั้นเป็นเรื่องสำคัญ และ 65% กล่าวว่าพวกเขาจะตัดสินใจลาออกหากพวกเขาแสดงออกอะไรไม่ได้เลย
บางคนโต้แย้งว่าเรื่องเพศนั้นไม่เกี่ยวกับการทำงาน และเรื่องอัตลักษณ์ทางเพศก็ไม่เห็นจะต้องกังวลอะไรขนาดนั้นเลย แต่ในความเป็นจริงแล้ว คนส่วนใหญ่จะแสดงออกถึงอัตลักษณ์ทางเพศออกมาโดยปกติ ไม่ว่าจะผ่านเสื้อผ้าที่สวมใส่ การพูดถึงคู่ของพวกเขา หรือภาพถ่ายครอบครัวบนโต๊ะทำงาน ซึ่งเพศเป็นส่วนสำคัญของตัวตนของเรา และความรู้สึกถูกกดดันให้ปิดบังส่วนเหล่านั้น อาจส่งผลกระทบทางจิตใจอย่างมหาศาล
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ผู้ตอบแบบสอบถามยังพูดถึงการตอบสนองของบริษัทต่อกฎหมายต่อต้าน LGBTQIA+ อีกด้วย ผู้ตอบแบบสอบถาม 36% กล่าวว่าพวกเขาจะลาออกจากงาน หากบริษัทไม่แสดงจุดยืนในการต่อต้านการเลือกปฏิบัติในหมู่ LGBTQIA+
ในบางประเทศมีกฎหมายเพื่อปกป้องพนักงาน LGBTQIA+ จากการเลิกจ้างอันเนื่องมาจากรสนิยมทางเพศหรืออัตลักษณ์ทางเพศ อย่างไรก็ตาม พนักงาน LGBTQIA+ จำนวนมากยังคงเผชิญกับการเลือกปฏิบัติ การล่วงละเมิด และการกลั่นแกล้งจากเพื่อนร่วมงาน และหัวหน้างานที่พยายามผลักพวกเขาออกไปอยู่ดี
LGBTQ+ กว่า 31% ต้องเผชิญกับการเลือกปฏิบัติอย่างโจ่งแจ้งในที่ทำงาน หรือแม้กระทั่งการล่วงละเมิดในที่ทำงาน และอีก 25% รู้สึกว่าพวกเขาถูกมองข้ามและตัดโอกาสในการก้าวหน้าทางการงานเพียงเพราะถูกมองว่าแตกต่าง
นอกจากนี้ผู้ตอบแบบสอบถามกว่าครึ่งล้วนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า พวกเขาเคยได้ยินการเล่นมุกเกี่ยวกับ LGBTQIA+ ในที่ทำงาน และยังบอกอีกด้วยว่าพวกเขาไม่เชื่อว่าบริษัทที่พวกเขาทำงานอยู่จะช่วยส่งเสริมให้ชาว LGBTQIA+ อย่างพวกเขาเติบโต
ผู้บริหารบริษัทต่างๆ ก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ พวกเขาเริ่มรู้สึกกดดันมากขึ้น เมื่อการตระหนักรู้และให้น้ำหนักกับประเด็นทางสังคมเริ่มเป็นเรื่องสำคัญขึ้นมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อกฎหมายพยายามจำกัดการทำแท้งและสิทธิของ LGBTQIA+
Walt Disney Co. ต้องเผชิญกับแรงกดดันจากพนักงานในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา เมื่อบริษัทปฏิเสธที่จะตอบโต้ต่อร่างกฎหมายของรัฐฟลอริดาที่ชื่อว่า ‘Don’t Say Gay’ ส่วนทาง Netflix ก็เผชิญกับการลาออกของพนักงานไปเมื่อปีที่แล้วเช่นกัน หลังจากที่เลือกออนแอร์รายการเดี่ยวของนักแสดงตลก Dave Chappelle ที่พูดถึงค่าใช้จ่ายของคนข้ามเพศ
“บริษัทต่างๆ ต้องมองว่าสิทธิ LGBTQIA+ เป็นเรื่องที่สำคัญ บริษัทจะต้องยืนหยัดและสร้างพื้นที่ในการเป็นส่วนหนึ่งของพนักงานของพวกเขา” Rosanna Durruthy รองประธานฝ่ายความหลากหลายของ LinkedIn กล่าว
เธอชี้ให้เห็นถึงกระแสของกฎหมายต่อต้าน LGBTQIA+ ว่า “การแสดงออก แสดงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน และการสนับสนุนชุมชน LGBTQIA+ จะต้องมีความสำคัญมากกว่าที่เคย และสิ่งนี้จำเป็นต้องเกิดขึ้น 365 วันต่อปีเลยด้วยซ้ำ”
เธอยังแนะนำว่าข้อสำคัญที่จะทำให้พนักงาน LGBTQIA+ รู้สึกสบายใจในที่ทำงานได้นั้นคือ บริษัทจะต้องมีจุดยืนที่ชัดเจน และมีการกระทำที่สนับสนุน LGBTQIA+ ด้วย ไม่ว่าจะเป็นการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมองค์กร วางนโยบายที่เข้มแข็งเพื่อส่งเสริมความเสมอภาค สร้างพื้นที่ปลอดภัยสำหรับพนักงาน LGBTQIA+ ให้พวกเขาได้พบปะกันจนเกิดเป็นชุมชน
และที่สำคัญที่สุดคือสร้างความตระหนักรู้ให้พนักงานทุกคน เพื่อที่พวกเขาจะได้เป็นพันธมิตรที่ดีต่อพนักงาน LGBTQIA+ สร้างวัฒนธรรมที่ทุกคนสามารถเติบโตได้ไม่ว่าพวกเขาจะเป็นเพศอะไรก็ตาม
ภาพ: Macrovector / Shutterstock
อ้างอิง:
- https://www.bloomberg.com/news/articles/2022-06-09/lgbtq-workers-say-inclusive-environment-key-to-retention-linkedin-study
- https://www.linkedin.com/business/talent/blog/talent-acquisition/how-to-build-more-equitable-workplace-for-lgbtq-employees
ช่องทางติดตาม THE STANDARD WEALTH
Twitter: twitter.com/standard_wealth
Instagram: instagram.com/thestandardwealth
Official Line: https://lin.ee/xfPbXUP