Hermès ทำยอดขายสูงถึง 88 ล้านบาทในวันแรกที่ร้านสาขากวางโจวกลับมาเปิดให้บริการ

ถือเป็นหนึ่งในข่าวสร้างความหวังต่อธุรกิจแฟชั่นลักชัวรี หลังเว็บไซต์ WWD ได้รายงานว่า เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา (11 เมษายน) ร้าน Hermès ในเมืองกวางโจว ประเทศจีน ซึ่งเป็นร้านใหญ่สุดอันดับสองของประเทศ ได้กลับมาเปิดให้บริการอีกครั้งหลังวิกฤตโควิด-19 ภายในประเทศได้เบาบางลง และเห็นยอดขายแค่วันเดียวสูงถึง 2.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 88 ล้านบาท

แม้ทางแบรนด์ Hermès เองจะไม่ได้ประกาศตัวเลขนี้ออกมา แต่หลายแหล่งข่าวได้คอนเฟิร์มเรื่องนี้กับทาง WWD และบอกว่าทางแบรนด์ฝรั่งเศสได้มีการส่งไอเท็มพิเศษและหายากไปยังร้านที่กวางโจวสำหรับลูกค้าวีไอพีโดยเฉพาะ อาทิ กระเป๋า Birkin รุ่นหนัง Himalayan ประดับเพชร เป็นต้น ซึ่งมีลูกค้าท่านหนึ่งที่ใช้ชื่อว่า Atomniu บนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย Xiahongshu ของจีน ได้โพสต์รูปพร้อมเผยว่า เธอได้ไปช้อปปิ้งและใช้เงินในร้านสูงถึง 1 ล้านหยวน

หนึ่งในเหตุผลที่เหตุการณ์นี้เริ่มเกิดขึ้นในประเทศจีน นักวิชาการเรียกว่า ‘Revenge Spending’ ที่นักช้อปกระเป๋าหนักซึ่งไม่ได้โดนผลกระทบจากโควิด-19 มากนักจะรู้สึกอัดอั้นในการไม่ได้ซื้อสินค้าแบรนด์เนมให้ตัวเอง หลังจากต้องกักตัวอยู่บ้านมาหลายวัน เลยอยากช้อปเหมือนให้รางวัลตัวเอง ซึ่งในอนาคตหากการเดินทางระหว่างประเทศกลับมาสู่สภาวะปกติ เราน่าจะเห็นคนจีนกลุ่มนี้ยอมใช้เงินคล้ายกันในหมวดการท่องเที่ยว

อย่างไรก็ตาม รายงานล่าสุดของ McKinsey ที่ทำร่วมกับเว็บไซต์ Business of Fashion เผยว่า ธุรกิจลักชัวรีและแฟชั่นอาจมีรายได้ลดลง 30% ในปีนี้ และเราอาจจะเห็นหลายแบรนด์ประกาศล้มละลายภายใน 18 เดือนหากร้านค้ายังต้องปิดอยู่

โดยแบรนด์ลักชัวรีน้องใหม่หรือขนาดกลางน่าจะโดนผลกระทบหนักสุด หากเทียบกับแบรนด์มหาอำนาจอย่าง Hermès, Chanel, Louis Vuitton, Gucci หรือ Dior ที่แม้ยอดขายจะลดลงปีนี้ แต่ก็ไม่น่ากังวลเท่า เพราะแบรนด์เหล่านี้มีฐานผู้ซื้ออันเหนียวแน่น และมีกลุ่มสินค้าหลากหลายประเภท เริ่มตั้งแต่สินค้าความงาม ซึ่งพอคนเริ่มกลับมาลงทุนใช้เงินกับแฟชั่นอีกครั้ง แบรนด์พวกนี้ก็จะเป็นตัวเลือกอันดับต้นๆ เพราะชื่อเสียงและความรู้สึกคุ้มค่า

ภาพ: May James / SOPA Images / LightRocket via Getty Images

พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า

อ้างอิง: